ดาวโจนส์ – S&P500 ปิดลบ หุ้น Eli Lilly ดิ่งฉุดดัชนี, แนสแดคทำนิวไฮ
ดาวโจนส์ S&P500 ปิดลบ หุ้น Eli Lilly ดิ่งฉุดดัชนี, แนสแดคทำนิวไฮ
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -8 ส.ค. 68 7:49: น.
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดผสมผสานในวันพฤหัสบดี (7 ส.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P 500 ต่างปรับตัวลดลง หลังหุ้น Eli Lilly ร่วงลงอย่างหนัก เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังข้อมูลผลการทดลองยาลดน้ำหนักแบบรับประทานของบริษัท ส่วนดัชนีแนสแดคปิดทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดลดลง 224.48 จุด หรือ 0.51% ปิดที่ 43,968.64 จุด ดัชนี S&P 500 ปิดลดลง 5.06 จุด หรือ 0.08% ปิดที่ 6,340.00 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแดค ปิดเพิ่มขึ้น 73.27 จุด หรือ 0.35% ปิดที่ 21,242.70 จุด
ในปี 2025 นี้ ดัชนี S&P 500 ปิดทำสถิติสูงสุดใหม่ไปแล้ว 15 ครั้ง ขณะที่ดัชนีแนสแดค ทำไป 17 ครั้ง
ในช่วงท้ายของการซื้อขาย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าจะเสนอชื่อ สตีเฟน มิแรน ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) แทน อาเดรียนา คูเกลอร์ ที่ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยมิแรนจะดำรงตำแหน่งไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2026 ในระหว่างที่ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังสรรหาบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวอย่างถาวร โดยการเสนอชื่อในครั้งนี้จะต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภาก่อน
ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ผู้ว่าการเฟดอีกท่านหนึ่ง เป็นตัวเก็งที่จะได้รับการเสนอชื่อดำรงเป็นประธานเฟดคนใหม่ แทนที่เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนปัจจุบัน ที่ถูกประธานาธิบดีทรัมป์วิจารณ์อย่างหนัก เนื่องจากไม่ยอมปรับลดอัตราดอกเบี้ย
หุ้น Eli Lilly ร่วงลงถึง 14.1% แม้จะปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรและยอดขายทั้งปี เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังผลการทดลองยาออร์ฟอร์กลิพรอน (Orforglipron) โดยสำนักข่าว CNBC รายงานว่า ผลการทดลองระยะสุดท้ายของยาดังกล่าว ช่วยให้ผู้ป่วยมีน้ำหนักลดลงเกือบ 12% หรือประมาณ 27 ปอนด์ (12.25 กิโลกรัม) ในระยะเวลา 72 สัปดาห์ แต่ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในวอลล์สตรีทคาดไว้ว่า จะลดน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 15%
ขณะที่หุ้น Fortinet บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ดิ่งลง 22% หลังประกาศคาดการณ์รายได้ต่ำกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
ปีเตอร์ คาร์ดิลโล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Spartan Capital Securities ให้ความเห็นว่า การปรับขึ้นของตลาด เริ่มดูอ่อนแรงลงเล็กน้อย เราได้เห็นตลาดปรับขึ้นมาต่อเนื่องจากการประกาศผลประกอบการ และที่สำคัญคือตลาดเพิกเฉยต่อข่าวเรื่องภาษีนำเข้ามาโดยตลอด
ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ กำหนดต่อสินค้าจากหลายสิบประเทศได้มีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงที่สุดในรอบศตวรรษ
หุ้น Intel บริษัทผู้ผลิตชิป ปรับตัวลดลง 3.1% หลังทรัมป์เรียกร้องให้ ลิป-บู ตัน ซีอีโอคนใหม่ของ Intel ลาออกในทันที โดยอ้างว่ามีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากมีสายสัมพันธ์กับบริษัทในจีน
ในทางกลับกัน หุ้น Apple พุ่งขึ้น 3.2% หลังได้รับยกเว้นภาษีนำเข้าชิปและเซมิคอนดักเตอร์ เช่นเดียวกับบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่บางแห่งที่มีการลงทุนหรือให้คำมั่นที่จะผลิตในสหรัฐฯ โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศว่า จะขึ้นภาษีนำเข้า 100% สำหรับเซมิคอนดักเตอร์
ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุด เผยว่า ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 7,000 ราย มาอยู่ที่ 226,000 ราย (หลังปรับทวนตามฤดูกาล) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 5 ก.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ 221,000 ราย
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก FedWatch Tool ของ CME บ่งชี้ว่า นักลงทุนประเมินโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ลงอย่างน้อย 0.25% ในเดือน ก.ย. อยู่ที่ 93.2% ลดลงเล็กน้อยจากระดับ 94.6% ในวันก่อนหน้า แต่ยังคงสูงกว่าสัปดาห์ที่แล้วที่ระดับ 37.7% อย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา Reuters
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ