‘ชาร์มห้อยกระเป๋า’ เทรนด์ประดับกระเป๋าด้วยของกุ๊กกิ๊กแสดงออกถึงตัวตนของเราได้ยังไง?
ครึ่งปีผ่านไป เราเห็นเทรนด์แฟชั่นมากมายหมุนเปลี่ยนเวียนผ่าน แต่เราน่าจะเห็นตรงกันว่าเทรนด์ที่จะอยู่ทนกับเราไปอีกนานคือ ‘ชาร์มห้อยกระเป๋า’
หากใครเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะบ่อยๆ คงสังเกตเห็นได้ว่ากระเป๋าเกือบทุกใบ ไม่ว่าจะของคนเพศไหนวัยไหน จะแต่งตัวมินิมอล โอลด์มันนี่ y2k หรือชุดไปออฟฟิศ ก็มักมีของกุ๊กกิ๊กเล็กๆ น้อยๆ ห้อยติดอยู่ บางคนเป็นตุ๊กตาลาบูบู้หรืออาร์ตทอยอื่นๆ บางคนก็ห้อยการ์ดภาพศิลปินเกาหลีคนโปรด อาจจะเป็นสายถักลูกปัดหลากสี ป้ายชื่อตัวเองที่มาคู่กับกระเป๋า และอีกมากมายเกินจะลิสต์ออกมาได้หมด
มนุษย์หาทางนำเสนอตัวตนของตัวเองผ่านสิ่งที่เราทำเสมอ และชาร์มห้อยกระเป๋าเหล่านี้ก็เป็นหนึ่งในการนำเสนอตัวเองด้วยเหมือนกัน เพราะต่อให้เราเดินไปในดงคนที่ใช้กระเป๋ายี่ห้อเดียวกัน ชาร์มเหล่านี้สามารถส่งสัญญาณได้ว่าเราเป็นใคร สนใจอะไร มีรสนิยมแบบไหน
แต่เคยรู้สึกหรือเปล่า ว่าไม่ว่าจะเลือกชาร์มยังไง ไม่ว่าจะเติมของกุ๊กกิ๊กเข้าไปในตะขอเกี่ยวคาราบีเนอร์มากขนาดไหน บางครั้งก็ยังรู้สึกว่าชาร์มเหล่านี้ไม่ทำให้เรา ‘เป็นตัวเอง’ เท่าที่ต้องการ ก่อนจะหาคำตอบว่าทำไมเรารู้สึกอย่างนั้นได้ เราต้องมาลองมองย้อนไปหาชาร์มรูปแบบต่างๆ และประวัติที่มาที่ไปของพวกมันเสียก่อน
ชาร์มที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้คือวัตถุเล็กๆ ที่ห้อยหรือประดับวัตถุอีกอย่างหนึ่งอยู่ แต่ว่าหากเรามองไปถึงคำว่า ‘ชาร์ม’ แบบลงลึกแล้ว มันจะเป็นเหมือนการเปิดประตูสู่โลกกว้างที่เราไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินไปตรงไหน เริ่มเล่าจากอะไรก่อน เนื่องจากพวกมันไม่ได้อยู่ดีๆ ก็ผุดเกิดขึ้นมาจากอากาศ แต่มักทำหน้าที่บางอย่างในสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลกต่างกันออกไป
ตัวอย่างที่ใกล้ตัวที่สุดของเราก็คือคำแปลภาษาไทย หนึ่งในคำแปลของคำว่าชาร์มคือ ‘เครื่องราง’ นั่นหมายความว่าอะไรก็ตามที่เป็นวัตถุไสยศาสตร์ตั้งแต่พระเครื่อง ปลัดขิก ตะกรุด สาริกาลิ้นทอง ผ้ายันต์ ฯลฯ ก็นับเป็นชาร์มทั้งสิ้น และเมื่อพูดอย่างนั้น เราก็นึกถึงวัตถุทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่ก็กลายมาเป็นเครื่องประดับ เช่น นาซาร์ หรือดวงตาปีศาจสีฟ้า ที่ชาวคาบสมุทรบอลข่านและเมดิเตอร์เรเนี่ยนเชื่อว่าใช้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายและความริษยาได้
ชาร์มอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีตแล้วเดินทางข้ามเวลาและบริบททางวัฒนธรรมมาจนถึงปัจจุบัน คือ Friendship Bracelet กำไลที่เราและเพื่อนใกล้ชิดถักให้แก่กันเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพ กำไลรูปแบบนี้ได้รับความนิยมอีกครั้งในกลุ่มแฟนคลับศิลปินและผู้สนับสนุนพรรคการเมือง แต่หากเราย้อนรอยไปหาจุดกำเนิดของพวกมัน เราพบกำไลเหล่านี้ได้ในอารยธรรมชนเผ่ามายา แอฟริกา แถบเอเชียใต้ ฯลฯ
นอกจากความเชื่อโบราณและวัฒนธรรมท้องถิ่น ชาร์มหลายๆ อย่างก็เกิดขึ้นจากวัฒนธรรมร่วมสมัย เช่น แพตช์ตราสัญลักษณ์ที่เอาไว้รีดติดเสื้อผ้าและเข็มกลัดที่มาจากวัฒนธรรมพังก์ หรือการห้อยของประดับกุ๊กกิ๊กมากมายไว้กับโทรศัพท์พับ ที่เกิดขึ้นมาจากวัฒนธรรมการสุ่มและสะสมของของคนญี่ปุ่นช่วงปี 2000s
เมื่อมองไปยังประวัติศาสตร์ของชาร์ม การเรียกมันว่าเป็นเพียง ‘เครื่องประดับ’ เริ่มฟังดูไม่ครอบคลุมหน้าที่ของพวกมันนัก เพราะว่าชาร์มหลากหลายอย่างเป็นวัตถุทางวัฒนธรรม ที่เชื่อมโยงกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ หรือธรรมเนียมท้องถิ่น การหยิบพวกมันมาสวมใส่จึงไม่ใช่เพียงการประดับเพื่อความงาม แต่เป็นเหมือนการนำเสนอตัวตนทางวัฒนธรรมของตัวเราเองด้วย
ประเด็นทางวัฒนธรรมนี้เองคือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าชาร์มบางอย่างนั้น ‘เป็นเรา’ เพราะชาร์มเหล่านั้นมีความหมายลึกๆ ในตัวมันเอง และความหมายเหล่านั้นสื่อสารกับเราอยู่ มันอาจแสดงออกถึงแนวคิดของเรา ถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่เฉพาะตัวของเรา มันอาจนำเสนอความเชื่อของภูมิภาค หรือความชอบและคอมมูนิตี้ที่เรามีส่วนร่วม
ในปัจจุบัน เมื่อชาร์มกลายเป็นเทรนด์ หลากหลายแบรนด์แฟชั่นและทุนทำให้ชาร์มเข้าถึงได้ง่ายขึ้น หลายๆ แบรนด์ถึงกับมีบริการ Personalize สินค้าของเราได้ทันทีที่เลือกซื้อกระเป๋าจากช็อป บางแบรนด์ขายแม้กระทั่งกระเป๋าที่ติดชาร์มสำเร็จรูปมาให้อยู่แล้ว
การเข้าถึงได้ในมุมหนึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ในอีกมุมมันก็ทำให้เราไม่รู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชาร์มเหล่านั้นเท่าไรนัก การซื้อชาร์มมาห้อยเพราะสวยเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลย แต่ทางออกในการจะทำให้เรารู้สึกว่าชาร์มเหล่านั้นแตกต่างจากของคนอื่นๆ อาจคือการหาความเชื่อมโยงระหว่างเราและชาร์มที่เลือกมาห้อย โชคดีอย่างหนึ่งของเราคือเหล่าชาร์มยอดฮิตในปัจจุบันเอื้ออำนวยให้เราทำแบบนั้น
Italian Charms
Italian Charms คือกำไลหรือพวงกุญแจสแตนเลส ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลายอันต่อกัน ความพิเศษของกำไลรูปแบบนี้คือเราสามารถตกแต่งสี่เหลี่ยมผืนผ้าพวกนั้นด้วยชาร์มเล็กๆ แปลว่าเราสามารถปรับแต่งกำไลหรือพวงกุญแจนี้ได้แบบรอบวง และการปรับแต่งได้อย่างอิสระนี้เองทำให้ชาร์มนี้มัดใจเรา
จุดกำเนิดของกำไลนี้มาจากแบรนด์เครื่องประดับชื่อ Nomination ซึ่งทางแบรนด์มีคอนเซ็ปต์ว่าชาร์มแต่ละชิ้นที่อยู่บนกำไลมีไว้เพื่อบันทึกหมุดหมายในชีวิต ตัวอย่างเช่น ผีเสื้อที่เป็นเครื่องหมายของการเติบโตและเปลี่ยนแปลง หรือรูปเงื่อนที่เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ ความรัก การแต่งงาน
เช่นนั้นแล้วลองนึกถึง Italian Charm ให้เป็นมากกว่าวัตถุ แต่เป็นเครื่องมือเพื่อ ‘จับภาพ’ ช่วงเวลาหนึ่งของเรา เมื่อเรามองแบบนั้นชาร์มน้อยๆ บนข้อมือหรือกระเป๋าเราก็จะสะท้อนตัวตนของเรามากกว่าเดิม
เข็มกลัด
เข็มกลัดปั๊มเป็นลายต่างๆ ติดอยู่บนกระเป๋าผ้าใบทำให้กระเป๋าธรรมดาๆ โดดเด่นขึ้นได้เสมอ การเลือกว่าจะเอาเข็มกลัดอะไรมาติดสะท้อนอะไรบางอย่างในตัวเรา อาจจะเป็นเข็มกลัดภาพวงดนตรีที่เราชอบ หนังที่เราโปรดปราน หรืองานคอนเสิร์ตที่เราประทับใจ
ภาพความขบถที่มาคู่กับเข็มกลัดไม่ใช่สิ่งบังเอิญ เข็มกลัดเคยถูกใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในอดีตมากมาย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหว LGBTQ+ แถมเข็มกลัดยังเป็นสัญลักษณ์สำคัญของซีนดนตรีพังก์ตอนปี 70s ที่ผู้คนมักติดเข็มกลัดรูปวงพังก์ มุกวงใน หรือค่ายเพลงท้องถิ่น ที่มีจำนวนจำกัดและไม่มีขายทั่วไป การติดเข็มกลัดจึงเป็นเหมือนการแสดงตัวว่าตัวเองมีกลุ่มมีก้อนอยู่กับดนตรีพังก์อย่างจริงจัง
ฉะนั้นหากเราอยากจะเลือกหยิบเข็มกลัดมาติดกระเป๋าของเรา ลองเลือกลายที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกและตัวตนของเรา และจะดีมากหากเราเอาตัวเองออกไปใช้ชีวิตแล้วร่วมทำกิจกรรมบางอย่างที่เราชอบ บางครั้งเข็มกลัดที่มาคู่กับกลุ่มก้อนหรือประสบการณ์บางอย่างคือสิ่งที่น่าจดจำที่สุด
ตุ๊กตา อาร์ตทอย และอื่นๆ
ตุ๊กตาดีไซเนอร์น่าจะเป็นประเภทชาร์มกระเป๋าที่ฮิตที่สุดในตอนนี้ การมีงานศิลปะห้อยอยู่บนกระเป๋าแสดงออกรสนิยมของเราได้ แถมเจ้าตุ๊กตาแต่ละตัวดูมีลักษณะนิสัยของตัวเอง ความแสบของลาบูบู้ ความเหวอของม่อนชิชิ หรือความน่าเกลียดของฟักเกลอสามารถสะท้อนนิสัยใจคอของเราออกไปให้โลกเห็นได้
การห้อยตุ๊กตาพวกนี้ได้รับอิทธิพลมาจากการห้อยชาร์มโทรศัพท์ฝาพับที่ญี่ปุ่นเมื่อช่วงปี 2000s ที่ผู้คนเอาสายคล้อง ตุ๊กตา กาชาปอง เครื่องเกมเล็กๆ ฯลฯ มาห้อยบนโทรศัพท์เครื่องจิ๋วจนพะรุงพะรัง การกลับมาของเทรนด์ y2k เมื่อช่วงสามปีที่ผ่านมาเป็นแรงผลักสำคัญที่ปลุกเทรนด์การห้อยชาร์มขึ้นมาด้วย
แต่นอกจากนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ตุ๊กตาห้อยกระเป๋ากลายเป็นเทรนด์คือ ‘ไฮป์’ (Hype) หรือกระแสแรงกดดันทางสังคมที่บอกว่าสินค้าอะไรสักอย่างนั้นทำให้เราเป็นคนไม่ตกกระแส ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่เราจะเดินตามกระแส แต่ว่าการเดินตามไฮป์ก็สามารถทำให้เราซื้อของที่กระแสบอกว่า ‘ต้องมี’ มากกว่าสิ่งที่ ‘เราอยากมี’ ทำให้เราไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร
เมื่อคิดอย่างนั้น วิธีการที่เราจะทำให้ตุ๊กตาพวกนี้เข้ากับเรามากขึ้น คือการยึดมั่นกับรสนิยมของตัวเอง ไม่วิ่งตามกระแสและคำว่าของมันต้องมี เลือกซื้อชาร์มจากดีไซน์ที่เราชอบจริงๆ เป็นหลัก
ความต้องการที่จะบอกว่าเราชอบอะไร คิดยังไง ผ่านอะไรมา เป็นพวกเดียวกับใคร ล้วนเป็นความต้องการลึกๆ ของมนุษย์ผู้เป็นสัตว์สังคม ชาร์มไม่ใช่เพียงของประดับตกแต่ง แต่มันคือสิ่งที่คนคนหนึ่งสามารถใช้สะท้อนตัวตนของตัวเองได้ เราสามารถแสดงให้โลกเห็นรสนิยม นำเสนอแนวคิดทางการเมือง เป็นบันทึกช่วงเวลาในชีวิต และเป็นสัญลักษณ์ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก้อนอะไรบางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตา ลูกปัด เข็มกลัด หรือของชำร่วยจากร้านขายของที่ระลึกต่างจังหวัด หากพวกมันพูดคุยกับเรา ชาร์มนั้นจะสะท้อนความเป็นเราได้อย่างสุดใจ
อ้างอิง: nationalgeographic.com, nomination.au,
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath