ผู้เชี่ยวชาญพิษวิทยา บอก 2 วิธีล้างสารพิษในตู้เย็น ด้วยส่วนผสมง่ายๆ ที่มีในครัว
ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษวิทยา บอก 2 วิธีล้างพิษในตู้เย็น ใช้แค่ส่วนผสมง่ายๆ ละลายน้ำ ปลอดภัยและได้ผล
ตู้เย็นมักถูกมองว่าเป็น“ตู้นิรภัยของอาหาร” ประจำบ้าน แต่หากละเลยการดูแลและทำความสะอาด ก็อาจกลายเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและสารพิษที่มองไม่เห็น
ศาสตราจารย์ Zhao Mingwei นักพิษวิทยาชาวจีนที่ได้รับการรับรองจากสมาคมพิษวิทยาแห่งสหรัฐฯ ระบุว่า ตู้เย็นไม่ได้ปลอดภัย 100% สำหรับการเก็บอาหาร หากไม่ได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ตู้เย็นจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อรา แบคทีเรีย และสารระเหยที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ตัวอย่างของปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่
โปรตีนแช่แข็งที่เสื่อมสภาพเมื่อเก็บไว้นานเกินไป
ธัญพืชที่ขึ้นรา
อาหารเน่าที่ปล่อยเชื้อโรค
การปนเปื้อนข้ามระหว่างอาหารดิบและสุก
คราบซอสที่หกเลอะตามขอบประตู
สิ่งเหล่านี้ล้วนเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมสารพิษ และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งเมื่อบริโภคสะสมเป็นระยะเวลานาน
ศาสตราจารย์ Zhao เตือนว่า “ไม่มีตู้เย็นใดที่ปลอดจากเชื้อโรค หากไม่ทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ แม้จะดูสะอาดหรือไม่มีกลิ่นผิดปกติก็ตาม”
วิธีล้างพิษในตู้เย็นด้วยเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูขาว
ศ. Zhao ยังกล่าวว่า การใช้สารเคมีรุนแรง เช่น น้ำยาฟอกขาวหรือน้ำยาถูพื้น อาจทิ้งสารตกค้างในตู้เย็น ซึ่งอันตรายต่อเด็กและผู้สูงอายุ การใช้ เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชูขาวแบบเจือจาง จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผล
จุดเด่นของเบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู :
เบกกิ้งโซดา: เป็นด่างอ่อน ๆ ช่วยขจัดกลิ่น ดูดซับคราบมัน และคราบฝังแน่น
น้ำส้มสายชูขาว: มีกรดอะซิติก ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้อ่อน ๆ และละลายคราบโดยไม่ทำลายพื้นผิวตู้เย็น
สัดส่วนและวิธีใช้งาน
อัตราส่วนในการผสม:
เบกกิ้งโซดา : น้ำ = 1:20
น้ำส้มสายชูขาว : น้ำ = 1:10
ขั้นตอนการใช้งาน:
ผสมน้ำยาให้เจือจางตามสัดส่วน
ใส่ลงขวดสเปรย์หรือใช้ผ้าชุบน้ำยาเช็ดทำความสะอาดภายในตู้
ปิดปลั๊กตู้เย็นก่อนทำความสะอาด และปล่อยให้ตู้แห้งสนิทอย่างน้อย 30 นาที ก่อนเสียบปลั๊กใช้งานอีกครั้ง
ข้อควรระวังเพิ่มเติม
เลือกใช้น้ำส้มสายชูให้ถูกชนิด: ใช้เฉพาะน้ำส้มสายชูขาวกลั่นที่มีความเข้มข้นกรด 4–5% หลีกเลี่ยงน้ำส้มสายชูหมักธรรมชาติที่มีกลิ่นแรงหรือสีเข้ม
ใช้น้ำอุ่นในการผสม: ประมาณ 40–50°C จะช่วยขจัดคราบมันได้ดีขึ้น
ห้ามผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำส้มสายชูพร้อมกัน: เพราะจะเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้คุณสมบัติในการทำความสะอาดลดลง ควรใช้แยกกัน
คำแนะนำเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญ
ควรทำความสะอาดตู้เย็นทุก 2 สัปดาห์ หรือเมื่อเห็นว่าตู้เริ่มสกปรก
หลีกเลี่ยงการจัดเก็บอาหารแน่นเกินไป เพื่อให้ลมเย็นไหลเวียนได้ทั่ว
แยกของดิบและของสุกอย่างชัดเจน
ตรวจสอบและนำอาหารหมดอายุหรือเสื่อมสภาพออกเป็นประจำ
การทำความสะอาดตู้เย็นอย่างถูกวิธีไม่เพียงช่วยยืดอายุอาหาร แต่ยังลดความเสี่ยงในการรับสารพิษสะสมในชีวิตประจำวันได้อย่างมาก