‘นักวิชาการ’ เตือน เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ ‘ยูเครน 2’ ไปครึ่งตัวแล้ว
16 ก.ค.2568- รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรม โพสต์เฟซบุ๊ก เรื่อง เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปครึ่งตัวแล้ว ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ? มีเนื้อหาดังนี้
บางครั้งชาติพินาศ…ไม่ใช่เพราะศัตรูบุก
แต่เพราะคนในชาติหลับใหลอยู่กลางสนามรบโดยไม่รู้ตัว
1. RAND Corporation เตือนแล้ว…แต่เรากลับเฉย
ข้อมูลจาก RAND Corporation—สถาบันวิเคราะห์ทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐที่เป็นเบื้องหลังการวางหมากกลยุทธ์ของกองทัพอเมริกัน—เคยระบุไว้ตั้งแต่ปี 2565 แล้วว่า…
ประเทศไทยคือจุดยุทธศาสตร์อันดับ 1 ที่เหมาะสมต่อการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางของสหรัฐ
ระยะยิง 5,500 กิโลเมตรที่ว่ามานี้ ไม่ใช่แค่ป้องกันภัยใกล้ตัว
แต่มันครอบคลุม “ทุกมณฑลของจีน” ตั้งแต่ยูนนานไปจนถึงซินเจียง
พูดให้ชัดคือ “กรุงเทพฯ = ทริกเกอร์ของสงครามนิวเคลียร์เอเชีย” หากฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐเกิดขึ้นจริงที่จังหวัดพังงา
แล้วใครคือคนที่ RAND รอคอยจะเปิดดีล?
คำตอบคือรัฐบาลไทยภายใต้ผู้นำที่สหรัฐ “หนุนหลัง”
ในรายงานระบุชื่อชัด: ทักษิณ และธนาธร
นี่ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด
แต่คือ เอกสารจริงจาก RAND ที่ยังสามารถค้นอ่านได้จนถึงวันนี้
2. ยูเครนไม่ได้กลายเป็นสนามรบในชั่วข้ามคืน
ยูเครนในวันนี้—คือกระจกสะท้อนอนาคตของไทยที่กำลังเดินซ้ำรอยอย่างไร้สติ
ยูเครนเคยเป็นประเทศที่สหรัฐบอกว่าจะ “ช่วยสร้างประชาธิปไตย”
แต่ความจริงคือการ วางเครือข่าย จัดการรัฐบาล สร้างความแตกแยกภายใน ปลุกระดมเยาวชน และยัดอาวุธเข้าประเทศอย่างช้า ๆ
สุดท้ายยูเครนกลายเป็นสนามรบที่ไม่มีวันชนะ และประชาชนต้องสูญเสียทุกสิ่ง
วันนี้ ไทยกำลังซ้ำรอยยูเครนทุกขั้นตอนนั้น รู้ตัวกันบ้างรึเปล่า?
หนึ่ง: มีความแตกแยกทางการเมืองระหว่างสีแดง-ส้ม-น้ำเงิน
สอง: มีต่างชาติเข้ามาตั้งฐานพลเรือนในหัวเมืองสำคัญที่ ปาย, เชียงใหม่, ภูเก็ต, สมุย, เชียงราย
สาม: มีสงครามข้อมูลที่สับสน จนมิตรกลายเป็นศัตรู และศัตรูกลายเป็นไอดอล
สี่: มีการชักนำให้ “มองจีนเป็นภัย” ทั้งที่จีนไม่เคยส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดไทยเลยสักครั้งในประวัติศาสตร์
ถามจริงเถิด… เรายังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?
3. การเมืองไทยไม่ใช่เรื่องภายในอีกต่อไป
พรรคการเมืองไทยวันนี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ประชาชนอีกต่อไป
แต่กำลังเป็น “ตัวแทนผลประโยชน์ระหว่างประเทศ” ที่กำลังจะลากไทยเข้าสู่เวทีที่ใหญ่เกินตัว
อย่าคิดว่าสหรัฐจะมาตั้งฐานทัพแล้วแค่ฝึกรบ
อย่าคิดสั้นแค่ว่าเราจะมีเงินไหลเข้ามาจากการค้ากับโลกตะวันตก
เพราะสิ่งที่ตามมา คือการเป็น “จุดยิงแรก” ในกรณีเกิดสงครามจีน-สหรัฐอย่างเป็นทางการ
ขีปนาวุธจีนรุ่น DF-17, DF-21, DF-ZF คืออาวุธเหนือเสียงที่สามารถถล่มเป้าได้แม่นยำภายในไม่กี่นาที
ไทยไม่เคยมีระบบป้องกันตนเองในระดับนี้
เราจะปกป้องประชาชน 70 ล้านคนจากฝนเหล็กนรกนี้อย่างไร?
แค่ไทยยอมให้มีฐานยิงขีปนาวุธของสหรัฐ…คือเท่ากับลงชื่อยอมเป็นสนามรบแล้ว รู้ตัวกันบ้างรึเปล่า?
4. ถ้าประชาชนทั้งประเทศยังไม่ลุกขึ้นคัดค้านการตั้งฐานขีปนาวุธของสหรัฐ…เราจะถูกยึดทั้งประเทศแบบเบ็ดเสร็จ
สงครามโลกครั้งที่สามมาในรูปแบบใหม่
ไม่มีเสียงปืนก่อน
ไม่มีรถถังเข้าเมืองก่อน
แต่มีคนไทยกด “ไลก์” ให้คนที่เปิดประตูให้ศัตรูเข้ามา
โดยที่ "คนที่จะเปิดประตูให้ศัตรูเข้ามา" นั้น ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือ พรรคที่คนเกือบครึ่งประเทศหลงเลือกเข้ามาในสภายังไงเล่า
ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?
วันนี้ต่างชาติไม่ได้มายึดไทยด้วยกองทัพ
แต่ด้วย “เงินทุน” “องค์กร NGO” “ทุนอุดหนุนเยาวชน” “ฐานที่อยู่อาศัยถาวร” และ “เครือข่ายดิจิทัล”
เขาไม่ได้มายิงเรา…
แต่จะให้เรายิงกันเอง
ให้เราทะเลาะกันเอง
ให้เรายกแผ่นดินให้เขาโดยสมัครใจ
เมื่อใดที่เรามองไม่ออกว่าเรากำลังอยู่บนกระดานของใคร
เมื่อนั้นเราคือตัวเบี้ยที่เขาจะสั่งให้เดินไปตายตรงไหนก็ได้
ยังไม่รู้ตัวกันอีกหรือ?
5. ถึงเวลาตื่นขึ้นจากภาพลวงตาของการเป็น “ประเทศที่ปลอดภัย”
ไทยไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว…
หากประชาชนไม่ตื่นรู้
หากสื่อยังตกอยู่ในอำนาจการครอบงำ
หากรัฐบาลยังฝันหวานว่าเศรษฐกิจจะฟื้นจากการเป็นฐานทัพให้สหรัฐ
หากเยาวชนยังไม่รู้ว่าเขากำลังถูกใช้ให้สั่นคลอนอธิปไตยของตนเอง
ความมั่นคงของชาติไม่ได้เริ่มจากกองทัพ
แต่เริ่มจากจิตสำนึกของประชาชนว่าบ้านเมืองนี้ไม่ใช่ของใครอื่น
สรุป: ถ้าไม่ลุกขึ้นเฝ้าประตูดุจ "ยามเฝ้าแผ่นดิน"…อย่าหวังว่าบ้านเมืองเราจะรอด
ขีปนาวุธไม่รู้จักสีเสื้อ
สงครามไม่เลือกว่าใครฝั่งไหน
แต่เมื่อมันระเบิดกลางกรุงเทพ
มันไม่ถามก่อนว่าเราเลือกพรรคอะไร
เมืองไทยตกอยู่ในสถานะ “ยูเครน 2” ไปแล้วครึ่งตัว
รู้ตัวกันรึเปล่า?
ถ้าเรายังไม่ลุกขึ้นตั้งสติ อีกครึ่งตัว…เขาจะยกให้วอชิงตันแน่นอน
ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเลือกว่า…
เราจะยอมจนอยู่กับผืนดินไทย หรือรวยชั่วคราวแล้วตายอยู่ใต้เศษซากอาวุธนิวเคลียร์
“ชาติไทยไม่ควรยอมเป็นฐานยิงขีปนาวุธของใคร
เพราะลูกหลานเราจะไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอขมาแผ่นดินที่ไหม้เป็นเถ้าถ่าน”