คปภ. ชู 5 มาตรการหลัก หนุนธุรกิจประกันภัยมุ่งสู่ความยั่งยืนด้านสภาพภูมิอากาศ
คปภ. นำเสนอ 5 มาตรการสำคัญเพื่อขับเคลื่อนภาคประกันภัยไทยให้พร้อมรับมือและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน ในงานสัมมนา Multi-Regulatory Approach : Enabling Thailand's Climate Transition
ดร. อายุศรี คำบรรลือ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายพัฒนามาตรฐานการกำกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้นำเสนอมุมมองและแนวทางของภาคประกันภัย ภายในงานสัมมนา Multi-Regulatory Approach : Enabling Thailand's Climate Transition พร้อมเน้นย้ำถึง 5 มาตรการหลักที่ คปภ. ให้ความสำคัญในการรับมือกับความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนี้
1. การเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินและบริหารความเสี่ยง โดยคปภ. มุ่งมั่นพัฒนาการประเมินความทนทานของธุรกิจประกันภัยภายใต้สถานการณ์จำลอง (Stress Test) ที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change โดยเฉพาะการทดสอบผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติหลักของไทยที่ส่งผลให้ค่าสินไหมทดแทนในธุรกิจประกันวินาศภัยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีการนำข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลประกันภัย (Insurance Bureau System) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลการประกันภัยทรัพย์สินรายตำบล เพื่อจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ประสบอุทกภัยตามผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยพิจารณาจากจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยน้ำท่วม มูลค่าทุนเอาประกันภัย และสัดส่วนการทำประกันภัยต่อจำนวนหลังคาเรือนในพื้นที่ เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้เอาประกันภัยในสถานการณ์ภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (ESG in Climate Risk Management) ซึ่งคปภ. กำลังพัฒนาแนวปฏิบัติ "การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Climate Risk Management Guideline)" เพื่อยกระดับกรอบการบริหารความเสี่ยงของบริษัทประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ทั้งความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risks) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจในอนาคต (Transition Risks)
โดยมีร่างแนวปฏิบัติดังกล่าวประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ การกำกับดูแลและการกำหนดกลยุทธ์ (Governance & Strategy): คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงควรบูรณาการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้ากับการกำหนดกลยุทธ์, การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) โดยบริษัทประกันภัยควรรวมความเสี่ยงด้าน Climate Change เข้าสู่กรอบการบริหารความเสี่ยงแบบองค์รวม (ERM) รวมถึงการประเมินความมั่นคงทางการเงิน (ORSA) และการพิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ
ด้านการเปิดเผยข้อมูล (Disclosure) บริษัทประกันภัยควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับทราบและใช้ประกอบการตัดสินใจ
3. การเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG Disclosure) คปภ. ได้จัดทำและเผยแพร่กรอบแนวทางการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทประกันภัย ซึ่งครอบคลุมแนวทางการเปิดเผยข้อมูลในมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นในตลาด
4. การลงทุนสีเขียว (Green Investment) โดย คปภ. สนับสนุนให้บริษัทประกันภัยสามารถลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด หรือบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้าน ESG โดยมีประกาศคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่อง การลงทุนประกอบธุรกิจอื่นของบริษัทประกันชีวิต/บริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรอบรองรับการลงทุนสีเขียวของบริษัทประกันภัย
5. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย ซึ่ง คปภ. สนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ช่วยบริหารความเสี่ยงจากภาคเศรษฐกิจ สังคม และผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและบริษัทประกันภัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความยั่งยืนด้าน ESG ตัวอย่างเช่น
- ประกันภัย 7 บาท / 10 บาท (Micro Insurance) ที่เพิ่มโอกาสให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เข้าถึงประกันอุบัติเหตุ
- การประกันภัยพืชผล ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติสำหรับเกษตรกรไทย เช่น ประกันภัยข้าวนาปี
- การประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) บริษัทประกันภัยหลายแห่งในตลาดได้เริ่มให้ความคุ้มครองกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว
นอกจากการผลักดันมาตรการกำกับดูแลแล้ว คปภ. ยังมีกิจกรรมที่สนับสนุนแนวคิด Sustainability ในภาคประกันภัย เช่น การมอบรางวัลแก่บริษัทประกันภัยที่ดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG เพื่อสร้างแรงจูงใจให้มีการผสานแนวคิดนี้เข้ากับการดำเนินธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรม
“การนำประกันภัยมาใช้ในการบริหารความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง รวมถึงการนำกลไก E-policy มาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจประกันภัยสามารถบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ได้อย่างเป็นรูปธรรม”