TFM โชว์กำไร Q2 โต 50% แตะ 194 ล้านบาท ไฟเขียวปันผล 0.30 บ. ขึ้น XD 14 ส.ค.นี้
บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFM รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีกำไรสุทธิลดลง ดังนี้
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ 193.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.72% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 129.39 ล้านบาท เป็นผลมาจากยอดขายอาหารกุ้งอยู่ที่ 929 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยอดขายอาหารปลาอยู่ที่ 455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 325.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.33% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 233.40 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากการขายอาหารสัตว์น้ำอยู่ที่ 2,706.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.32%
นอกจากนี้ ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน มาอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 22.9% กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 49.7% มาอยู่ที่ 194 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 13.1% สะท้อนประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.30 บาทต่อหุ้น โดยมีอัตราการจ่ายปันผลที่ 92% และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าดึงดูดอยู่ที่ 6% โดยอ้างอิงราคาหุ้น 5.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาปิด ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ทั้งนี้วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) วันที่ 14 ส.ค. 2568 และกำหนดวันที่จ่ายปันผล 27 ส.ค. 2568 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสร้าง ผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าลงทุน 300 ล้านบาท เพื่อยกระดับการผลิตอาหารสัตว์น้ำสู่มาตรฐาน Industry 4.0 โดยรายงานผลงานเติบโตแข็งแกร่งท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หลังยอดขาย อาหารสัตว์น้ำเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/2568 เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี รับดีมานด์อาหารกุ้ง ปลากระพงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับสายการผลิตสู่มาตรฐาน Industry 4.0 โดยคาดว่า โครงการจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคม 2568
อีกทั้ง บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกเข้าติดอันดับหุ้นที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนเป็นหนึ่งใน ESG100 เป็นครั้งแรกติด 1 ใน 13 หุ้น ESG100 เข้าใหม่ ประจำปี 2568 ของสถาบันไทยพัฒน์ ตอกย้ำ ความมุ่งมั่นการดำาเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้กลยุทธ์ SeaChange@2030 และความมุ่งมั่น ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของไทยให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล
นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2568 ว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเติบโต โดยมียอดขายและกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วยยอดขาย 1,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8 เปอร์เซ็นต์ หากเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของยอดขายตลาดในประเทศ เมื่อวิเคราะห์รายผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อาหารกุ้ง ทำยอดขาย 929 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.8 เปอร์เซ็นต์ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากตลาดในประเทศที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการขยายส่วนแบ่งตลาด ทั้งการเพิ่มฐานลูกค้าใหม่และขยายฐานลูกค้าเดิมอย่างต่อเนื่อง สำหรับ ผลิตภัณฑ์อาหารปลา บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 455 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.2 เปอร์เซ็นต์ โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายอาหารปลากะพงที่เติบโตถึง 29.1 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงอาหารปลาประเภทอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น 16.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ในการขยายส่วนแบ่งทางการตลาด ตอกย้ำความเป็นผู้นำอาหารสัตว์น้ำของบริษัทฯ
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่ง จากการบริหารจัดการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับต่ำเพียง 0.08 เท่า ขณะที่ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตแข็งแกร่งเช่นกัน โดยมียอดขาย 2,707 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3 เปอร์เซ็นต์ และมีกำไรสุทธิ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลการดำเนินงาน
ครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงถึง 92 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวเพิ่มว่า สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานปี 2568 คาดว่ารายได้จะเติบโต 7-9 เปอร์เซ็นต์ โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักธุรกิจอาหารกุ้งและปลาที่โตต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน TFM พร้อมรักษาอัตรากำไรขั้นต้น โดยอาศัยปัจจัยสนับสนุนจากการบริหารพอร์ต การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ตลอดจนการจัดการต้นทุนวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงเดินหน้าบริหารอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย เพื่อสร้างสมดุลในการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว
นอกจากนี้ บริษัทฯ เดินหน้าขับเคลื่อนตามแผนการเติบโตระยะยาว เพื่อบรรลุเป้าหมายรายได้รวม 10,000 ล้านบาท ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ประมาณ 11 เปอร์เซ็นต์ต่อปี เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว บริษัทฯ ได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในประเทศไทยและอินโดนีเซีย โดยเน้นการขยายกำลังการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และการยกระดับเทคโนโลยีการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น อีกทั้ง TFM ยังพร้อมเปิดรับโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ การขยายตลาด และการหาพันธมิตรทางธุรกิจ โดยอาศัยจุดแข็งด้านกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารเงินทุนและสนับสนุนการขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคงในอนาคต