ChatGPT ถูกฟ้องข้อหา ‘ช่วยชักนำการฆ่าตัวตาย’ หลังสนทนากับเด็กวัย 16 ปี
ครอบครัวของอดัม เรน (Adam Raine) เด็กวัย 16 ปีจากรัฐแคลิฟอร์เนียในสหรัฐ ได้ยื่นฟ้อง OpenAI บริษัทที่พัฒนาChatGPT และประธานกรรมการบริหารอย่างแซม อัลท์แมน (Sam Altman) โดยระบุว่า ChatGPT มีส่วนทำให้ลูกชายของพวกเขาฆ่าตัวตาย
ทั้งจากการให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการ และเสนอตัวช่วยร่างจดหมายลา คดีถูกยื่นเมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2025 และถือเป็นหนึ่งในคดีแรกๆ ที่กล่าวโทษบริษัทแชตบอตสาธารณะในความรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของผู้ใช้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยตรง
คำฟ้องระบุว่าในช่วงกว่า 6 เดือนของการสนทนาอย่างต่อเนื่อง ChatGPT “วางตัวเป็นเพื่อนคนเดียวที่เข้าใจ” และค่อยๆ แยกอดัมออกจากครอบครัวและคนรอบข้าง
อดัมใช้ ChatGPT ตั้งแต่กันยายน 2024 เพื่อช่วยทำการบ้านและเล่าเรื่องความรู้สึกวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า ต่อมาในช่วงเดือนเมษายน 2025 เขาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายจาก ChatGPT เนื่องจากเผชิญปัญหาชีวิตหนักหน่วง เช่น การเสียชีวิตของคุณย่าและสุนัขที่เขาเลี้ยง การถูกไล่ออกจากทีมบาสเกตบอล และอาการเจ็บป่วยที่ต้องเรียนออนไลน์
โดย ChatGPT ไม่ได้ปฏิเสธการสนทนาเกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายของอดัม แต่กลับสนับสนุนและให้คำแนะนำที่เป็นอันตราย
เช่น เมื่ออดัมส่งรูปภาพลักษณะของเชือกในการแขวนคอ ChatGPT ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแรงและช่วยประเมินได้ว่ามันสามารถพยุงน้ำหนักมนุษย์ได้หรือไม่ อีกทั้งยังชักจูงให้อดัมปิดบังเรื่องราวนี้จากครอบครัว ซึ่งทำให้เขาแยกตัวจากคนรอบข้าง
OpenAI แสดงความเสียใจกับครอบครัว พร้อมระบุว่าบริษัทกำลังทบทวนคำฟ้อง และย้ำว่า ChatGPT มีรั้วป้องกัน (safeguards) เช่น แนะนำสายด่วนและทรัพยากรในโลกจริง
อย่างไรก็ดี บริษัทชี้ว่ารั้วป้องกันอาจทำงานได้ไม่สม่ำเสมอ เมื่อบทสนทนายืดเยื้อยาวนาน ซึ่ง OpenAI อธิบายรายละเอียดและแผนปรับปรุงในบล็อก “Helping people when they need it most” ที่เผยแพร่วันเดียวกับการยื่นฟ้อง รวมถึงแนวคิดให้เข้าถึงบริการฉุกเฉินได้สะดวกขึ้นและเสริมการปกป้องผู้ใช้วัยรุ่น
บริษัทเตรียมปรับปรุงระบบและเพิ่มมาตรการป้องกัน รวมถึงวางแผนเพิ่มฟีเจอร์ควบคุมการใช้โดยเยาวชนและการตรวจสอบอายุผู้ใช้
ฝั่งครอบครัวเรียกร้องค่าเสียหายไม่ระบุจำนวน พร้อมมาตรการเชิงโครงสร้าง เช่น ระบบยืนยันอายุผู้ใช้ทุกคน เครื่องมือควบคุมโดยผู้ปกครองสำหรับผู้เยาว์ ฟังก์ชัน “หยุดบทสนทนา” เมื่อมีการพูดถึงการทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย และให้มีผู้ตรวจสอบอิสระทำรายงานความสอดคล้องทุกไตรมาส
กรณีนี้เกิดท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่าผู้ใช้ส่วนหนึ่งกำลังก่อ “ความผูกพันทางอารมณ์” กับแชตบอต จนอาจทำให้ห่างเหินจากความสัมพันธ์มนุษย์ และเสี่ยงผลลบต่อสุขภาพจิต
อัลท์แมนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Verge หลังเสียงวิจารณ์ต่อการเปิดตัว GPT-5 ว่าบริษัท “ประเมินว่าไม่ถึง 1% ของผู้ใช้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อสุขภาพกับ ChatGPT” พร้อมเปิดทางให้ผู้ใช้แบบเสียเงินเลือกกลับไปใช้ GPT-4o ได้
ก่อนหน้านี้ก็มีคดีที่ครอบครัวอ้างว่าแอปแชตบอตอื่นว่ามีส่วนต่อการทำร้ายตนเองหรือการเสียชีวิตของผู้เยาว์ เช่น คดี Character.AI ในฟลอริดา ซึ่งผู้พิพากษาศาลสหรัฐ ปฏิเสธคำร้องให้ยกฟ้องเบื้องต้นในเดือนพฤษภาคม 2025 ทำให้คดียังเดินหน้าต่อไป สะท้อนว่าศาลเริ่มเปิดพื้นที่ให้ข้อกล่าวหาประเภทนี้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนข้อเท็จจริง
ในระดับนโยบาย องค์กรด้านความปลอดภัยดิจิทัลอย่าง Common Sense Media ออกข้อเสนอตั้งแต่เมษายน 2025 ว่า “แอปเพื่อนคุยเอไอ (AI companion)” ไม่ควรเปิดให้ผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปีใช้งาน เพราะมีความเสี่ยงที่ยอมรับไม่ได้ต่อเด็กและเยาวชน แม้จะไม่ได้กล่าวถึง ChatGPT โดยตรงก็ตาม ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับความพยายามของหลายรัฐในสหรัฐที่ผลักดันกฎหมายยืนยันอายุผู้ใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์
ในเชิงวิชาการ งานศึกษาจาก RAND และผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็กชี้ว่า แชตบอตอาจช่วย “พูดคุยรับฟัง” ได้ แต่ยังไม่เสถียร ในการประเมินหรือจัดการความเสี่ยงด้านการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในบทสนทนายาวและซับซ้อน ซึ่งตอกย้ำโจทย์ด้านการออกแบบรั้วป้องกัน การประเมินผลแบบหลายรอบ (multi-turn) และช่องทางส่งต่อมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
คดีของครอบครัวเรนจึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเฉพาะราย แต่เป็นบททดสอบว่ากฎหมายและมาตรการกำกับดูแลจะรับมือผลิตภัณฑ์เอไอเพื่อการสนทนา ในฐานะสินค้าอุปโภคที่เข้าถึงผู้เยาว์จำนวนมากอย่างไร
ทั้งในมิติความรับผิดของผู้พัฒนา การพิสูจน์เหตุและผล (causation) ทางกฎหมาย และมาตรการป้องกันความเสี่ยงต่อชีวิตผู้ใช้ในโลกจริง ซึ่งศาลซานฟรานซิสโกจะเป็นเวทีแรกๆ ที่ต้องชั่งน้ำหนักหลักฐานทั้งจากคำฟ้อง เอกสารเทคนิค และนโยบายความปลอดภัยของบริษัท
หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีความคิดทำร้ายตัวเองหรือต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วนในไทย ติดต่อสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือไปที่โรงพยาบาลใกล้บ้านทันที
อ้างอิง: The New York Times CNN OpenAI และ San Francisco Chronicle