โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

อย่าทำร้ายประเทศ!'ทัพภาค2'เตือน

สยามรัฐ

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

"ศบ.ทก." เผยสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาสงบ หลายพื้นที่ปลอดภัย "ประชาชน" ทยอยกลับบ้าน "กองทัพ" เร่งเก็บกู้ "จรวด-ระเบิด-กระสุนปืนใหญ่" 384 รายการ ผงะ! พบจรวด BM-21 เพียบ ส่วน "กองทัพภาค 2" เตือนอย่าทำร้ายประเทศ!หยุดปั่นข่าวสร้างความตื่นตระหนก! ขณะที่ "โพล" ชี้ "คนไทย" มองสาเหตุความขัดแย้ง "ไทยกัมพูชา" เกิดจากนโยบายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมระบุ "ฮุน เซน" ก่อความวุ่นวายเพื่อผลประโยชน์ตนเอง "นพดล กรรณิกา" ผุดคู่มือลาก "ผู้นำเขมร" ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ ปมโจมตีพลเรือน-โครงสร้างพื้นฐานในไทย

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 11 ส.ค.68 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ คณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา (ศบ.ทก.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม 2568 จนถึงเช้าวันนี้ (วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม 2568) เหตุการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีเหตุปะทะหรือความรุนแรงเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย - กัมพูชา หลังการประชุม GBC มีแนวโน้มคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง และหลายพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาภายใต้การดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ยังพบวัตถุระเบิดหรือวัตถุต้องสงสัยตกค้าง ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบและเก็บกู้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้ หากประชาชนพบพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยหรือพบวัตถุต้องสงสัย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมายเลข 191 เพื่อประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าดำเนินการ

"รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งการรักษาความสงบและการฟื้นฟูพื้นที่ชายแดนให้ปลอดภัยจากวัตถุระเบิดตกค้าง เพื่อให้พี่น้องประชาชนสามารถกลับบ้านและดำเนินชีวิตได้ตามปกติ" นายจิรายุ กล่าว
ที่กองบัญชาการกองทัพไทย รายงานว่า ระหว่าง 19 ส.ค. 68 ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) 15 ชุดปฏิบัติการ ร่วมกับชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด(EOD)สนับสนุนกองกำลังสุรนารีและตำรวจภูธรภาค 3 เก็บกู้สรรพาวุธจากการโจมตีของกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน 4 จังหวัด รวม 384 รายการ ประกอบด้วย จรวด BM-21, กระสุนปืนใหญ่, ลูกระเบิด ค.และ วัตถุระเบิดชนิดอื่นได้แก่ จ.บุรีรัมย์ 80 รายการ (BM-21 จำนวน 28 นัด, ลูกปืนใหญ่ 31 นัด, ลูก ค. 18 นัด, วัตถุระเบิดอื่น 10 รายการ) จ. สุรินทร์ 218 รายการ (BM-21 จำนวน 189 นัด, ลูกปืนใหญ่ 3 นัด, ลูก ค. 28 นัด, วัตถุระเบิดอื่น 10 รายการ) จ.ศรีสะเกษ 70 รายการ (BM-21 จำนวน 30 นัด, ลูกปืนใหญ่ 45 นัด) จ.อุบลราชธานี 16 รายการ (BM-21 จำนวน 16 นัด)

ส่วนเพจเฟซบุ๊ก "กองทัพภาคที่ 2" หยุด! ปั่นข่าวสร้างความตื่นตระหนก = ทำร้ายประเทศตัวเอง โดยมีข้อความว่า ในสถานการณ์ที่เปราะบาง ข่าวลือและข่าวปลอมแพร่เร็วกว่าเสียงปืน และ "ข่าวปั่น" ก็อันตรายไม่แพ้กระสุนจริงโพสต์หรือข้อความที่อ้างข้อมูลโดยไม่มีหลักฐาน หรือใช้ถ้อยคำเกินจริงเพื่อเรียกยอดแชร์ อาจทำให้ประชาชนแตกตื่น ขวัญกำลังใจแนวหน้าถูกบั่นทอน คู่ขัดแย้งใช้เป็นเครื่องมือในสงครามข้อมูลก่อนแชร์ คิด 3 ครั้ง 1.แหล่งข่าวมาจากไหน? 2.มีการยืนยันจากหน่วยงานทางการหรือไม่? 3.เนื้อหามีผลต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยหรือไม่? ความจริงคืออาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดในสนามรบข้อมูล เราต้องเลือกยืนข้างความจริง ไม่ใช่ข้างความตื่นตระหนก

ขณะที่ สถาบันวิทยาการจัดการแห่งแปซิฟิค เผยว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2568 ได้ทำการสำรวจประชาชนทั่วทุกภูมิภาค จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม 1,500 คน โดยได้สอบถามถึงเรื่อง "ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา รวมถึงความขัดแย้งของสองตระกูล"

โดยจากการสอบถามถึง "สาเหตุหลักของความขัดแย้งคืออะไร" ผู้ให้สำรวจมองว่า เกิดจากนโยบายปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของไทย 37.5% ข้อพิพาทเขตแดนทางประวัติศาสตร์ 22.4% การแทรกแซงของมหาอำนาจ (สหรัฐ/จีน) 21.8% ความขัดแย้งทางการเมืองภายในกัมพูชา 10.7% และ ความขัดแย้งระหว่างตระกูลผู้นำไทย-กัมพูชา 7.6%

เมื่อถามต่อว่า "การที่สมเด็จฮุน เซน ก่อความขัดแย้งกับไทยเพื่ออะไร" ทางผู้ให้สำรวจมีมุมมองว่า กระทำเพื่อผลประโยชน์ตนเอง 45.6% ใช้ความขัดแย้งสร้างความนิยมในกัมพูชา 33.5% เพื่อแทรกแซงกิจการไทย 19.3% เป็นนักยุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาด 0.1% อื่นๆ 1.5%

สำหรับ "มาตรการใดในการยุติความขัดแย้ง" ผู้ให้สำรวจ "เห็นด้วย" กับการเจรจาทวิภาคีผ่านกลไกอาเซียน 32.9% หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข 26.4% ยื่นเรื่องต่อศาลโลกหรือ UN 24.1% ใช้กำลังทางทหารจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมจำนน 16.5% และไม่มีความเห็น 1.1%

สถาบันฯ ได้สำรวจถึง ความเชื่อในทฤษฎี "ความขัดแย้งของสองตระกูล ชินวัตร-ฮุนเซน" มากน้อยเพียงใด ซึ่งเสียงส่วนใหญ่มองว่า ไม่เชื่อ ซึ่งเป็นเพียงวาทกรรมทางการเมือง 58.1% เชื่อบางส่วน เพราะอาจเป็นปัจจัยเสริม 20.4% เชื่ออย่างยิ่ง เพราะมีหลักฐานชัดเจน 11.4% และไม่ทราบข้อมูล 10.1%

ด้าน ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้านวิทยาการข้อมูลและระเบียบวิธี (Data Science and Methodology) ได้เผยแพร่ คู่มือปฏิบัติการนำผู้นำกัมพูชาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) โดยมีเนื้อหาระบุว่า "สถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่นำไปสู่การโจมตีพลเรือน โรงพยาบาล ร้านค้า และบ้านเรือนประชาชน เป็นเหตุการณ์ที่เข้าข่าย "อาชญากรรมสงคราม" ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งมีบทบัญญัติชัดเจนว่าการโจมตีโดยจงใจต่อเป้าหมายพลเรือนถือเป็นความผิด ร้ายแรง ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court - ICC) มีหน้าที่พิจารณาคดีเหล่านี้เพื่อเอาผิดกับผู้สั่งการหรือผู้นำที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรงหรือโดยการละเว้น การดำเนินการ ให้คดีเข้าสู่ ICC จึงไม่ใช่เพียงเรื่องการเมือง แต่เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ต้องใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด สรุปสาระสำคัญ 1. ICC คืออะไร - เป็นศาลอาญาระหว่างประเทศที่มีอำนาจพิจารณาความผิดร้ายแรง เช่น อาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการรุกราน 2. หลักการสำคัญ - ICC จะ เข้ามาพิจารณาเมื่อศาลในประเทศไม่ สามารถหรือไม่เต็มใจที่จะดำเนินคดีเอง ผู้นำระดับสูง ผู้บังคับบัญชา และบุคคลที่เกี่ยวข้องสามารถถูกดำเนินคดีได้แม้เป็นหัวหน้ารัฐ และไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มกัน แม้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือทาง การทูต

3. เหตุผลที่สามารถนำฮุนเซนขึ้น ICC ได้ - แม้ไทยจะไม่ใช่ภาคี ICC แต่กัมพูชาเป็น ทำให้ ICC มีอำนาจเหนือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกัมพูชาหรือสามารถใช้มติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติส่งเรื่องได้ หรือประเทศอื่นที่เป็นภาคี ICC ส่งเรื่องให้ได้ 4. สิ่งที่ต้องพิสูจน์ - ต้องแสดงให้เห็นว่ามีการโจมตีพลเรือนโดยจงใจ มีความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สิน และมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับคำสั่งหรือการรับรู้ของผู้นำ 5. หลักฐานที่จำเป็น - รวมถึงซากอาวุธและวัตถุระเบิด รายงานชันสูตรและผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ภาพถ่าย/วิดีโอพร้อม ข้อมูลพิกัด ภาพดาวเทียม และคำให้การพยานแสดงถึงการสูญเสียของไทยที่มาจากการกระทำความผิดของฝ่ายกัมพูชา 6. หน่วยงานที่ต้องทำงานร่วมกัน - กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หน่วยงานท้องถิ่น NGO และองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เป็นต้น 7. ขั้นตอนการยื่นเรื่อง - เก็บและจัดทำรายงานหลักฐานตามมาตรฐาน ICC ส่งผ่าน UNSC หรือประเทศภาคี ICC อัยการ ICC พิจารณาเปิดการสอบสวนและออกหมายจับ

ดังนั้น การนำผู้นำประเทศขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศต้องอาศัย "หลักฐานวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้" มากกว่าการกล่าว หาเชิงการเมืองและมากกว่าการปะทะคารมกัน และต้องใช้การประสานงานระดับรัฐ-ระหว่างประเทศอย่างรอบคอบ เพื่อให้กระบวนการเป็นไปตามกฎหมายสากลและได้รับการยอมรับในเวทีโลก สาระสำคัญบางประการที่น่าพิจารณาดำเนินการคือ องค์ประกอบความผิดที่ต้องพิสูจน์ เพื่อให้ ICC รับคดี ต้องพิสูจน์ได้ว่า (1) มีการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตาม Rome Statute เช่น การโจมตีโดยจงใจต่อพลเรือน การโจมตีโรงพยาบาล โรงเรียนและสิ่งก่อสร้างเพื่อการพลเรือน (2) มีเจตนาหรือความรู้ว่าการกระทำจะก่อให้เกิดความสูญเสียต่อพลเรือน และ (3) มีความเชื่อมโยงกับผู้นำระดับสูง หลักฐานว่ามีการออกคำสั่ง หรือรับรู้และไม่ยับยั้ง (Command Responsibility)คำแนะนำเชิงยุทธศาสตร์ 1) เน้นหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์ เพราะ ICC ให้ความสำคัญมากกว่าข่าวลือหรือการกล่าวหาทางการเมือง 2) ให้ NGO และสื่อสากลร่วมเก็บข้อมูล เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ 3) แยกการดำเนินคดีส่วนบุคคลกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการทูตโดยรวม

กล่าวโดยสรุป สาระสำคัญของบทความนี้คือ ผมได้ศึกษามาและชี้ให้เห็นว่า "การนำผู้นำกัมพูชาขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)" เป็นกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ระดับสากล ไม่ใช่การโต้เถียงทางการเมือง หรือการปะทะคารมกัน และต้องเดินหน้าอย่างเป็นระบบตั้งแต่การยืนยันข้อเท็จจริงในพื้นที่เกิดเหตุ ไปจนถึงการส่งสำนวนต่ออัยการ ICC ผ่านช่องทางที่กฎหมายรองรับ"

วันเดียวกัน พลโท มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา อ่านแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมสวัสดีตอนเช้าและขอส่งคำทักทายอย่างอบอุ่นไปยังสื่อมวลชนทุกท่าน รวมถึงเพื่อนชาวกัมพูชา ท่านที่กำลังติดตามการแถลงข่าวในวันนี้ เช้านี้ดิฉันขอแจ้งความคืบหน้าบางประการ หลังจากการประสานกำลังกันของข้อตกลงหยุดยิง ระหว่างกองทัพกัมพูชาและไทย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 หลังจากการประชุมพิเศษของคณะกรรมการกลางว่าด้วยความร่วมมือทางทหาร (GBC) สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ วันนี้ ตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 11 สิงหาคม 2568 จนถึงเวลา 6.00 น. ของเช้าวันนี้ สถานการณ์ที่แนวหน้าตามแนวจังหวัดปราวิฮีร์และอุโดมัญเจ ยังคงสงบและมั่นคง

กองกำลังทหารกัมพูชายืนหยัดอย่างเข้มแข็งและตื่นตัวอย่างเต็มที่ในการปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2568 พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ของไทย ได้ประกาศ แผนการเกษียณอายุราชการ ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 51 วัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ประการแรก ยึดปราสาทตาควาย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมโดยชอบธรรมของกัมพูชา และ ประการที่สอง ประกาศปิดปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา

คำแถลงนี้ ถือเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของความพยายามยั่วยุและวางแผนล่วงหน้าเพื่อรุกรานอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา การกระทำดังกล่าวข้างต้นของแม่ทัพภาค 2 ของไทย ได้ประกาศการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งบรรลุระหว่างการประชุมพิเศษเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 และเจตนารมณ์ของการประชุมพิเศษ (2:18) ของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ณ ประเทศมาเลเซีย

ในการประชุมพิเศษ (GBC) ครั้งนี้ กัมพูชาและไทยเห็นพ้องกันในประเด็นที่ 2 เป็นหลัก ว่าทั้งสองฝ่ายต้องไม่เคลื่อนย้ายกำลังพล รวมถึงการงดเว้นการลาดตระเวนเกินกว่าตำแหน่งปัจจุบัน

กัมพูชาเน้นย้ำจุดยืนที่มั่นคงในการแก้ไขปัญหาโดยสันติ และการยึดมั่นในหลักการสันติภาพ และปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด กัมพูชา หวังว่าไทยจะยึดมั่นในหลักการนี้ด้วยความจริงใจ เพื่อแก้ไขข้อพิพาทชายแดน เพื่อฟื้นฟูสันติภาพให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ ดิฉันขอเน้นย้ำ ว่าพรมแดนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้กำลัง และปัญหาพรมแดนต้องได้รับการแก้ไข ผ่านกลไกทางเทคนิคและกฎหมายระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ยื่นคำร้องต่อประชาคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศพันธมิตร ที่ได้ทำงานอย่างขยันขันแข็งจนนำไปสู่การหยุดยิงที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้ และเรียกร้องให้ประเทศไทยเคารพข้อตกลงหยุดยิง ไม่เพียงแต่ด้วยวาจาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง การดำเนินการที่เป็นรูปธรรม รวมถึงการหยุดยั้งหรือละเมิดและการยั่วยุ และให้รื้อถอน ลวดหนาม ลวดหนามสวนทางกับวาจาโดยทันที

ดิฉัน ขอย้ำอีกครั้งว่าสถานการณ์โดยรวมที่ชายแดนยังคงสงบ และทั้งสองฝ่ายควรรักษาเสถียรภาพนี้ต่อไปในทิศทางเดียวปรับปรุงสถานการณ์ให้ดีขึ้น หลีกเลี่ยงการดำเนินการใดๆ ที่จะขัดขวางสันติภาพ เสถียรภาพ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองประเทศ ซึ่งไม่เพียงเป็นความปรารถนาร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นของชุมชนโลกด้วย ซึ่งได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนผ่านข้อความแสดงความยินดีและการสนับสนุนมากมายสำหรับข้อตกลงหยุดยิงนี้ รวมถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่เกิดจากการประชุมพิเศษ GBC ระหว่างกัมพูชาและไทย

เป็นที่น่าสังเกตว่า ภารกิจนี้เกิดขึ้นจากผลลัพธ์ ของการประชุมพิเศษที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ เมืองปุตราจายา ประเทศมาเลเซีย และการประชุมพิเศษ ของคณะกรรมการชายแดนกัมพูชา-ไทย (GBC) ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ซึ่งยืนยันการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงที่ตกลงกันไว้เมื่อ วันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ณ เมืองปุตราจายาอย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 แต่ในเวลา 7.50 น. ทันทีหลังจากการหยุดยิง ทหารของกัมพูชาถูกทหารไทยจับกุมตัวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ณ ขณะนี้ นับถึงวันที่ 11 สิงหาคม 2568 กัมพูชาได้เรียกร้องหลายครั้งให้ประเทศไทย ส่งกำลังทหารทั้ง 18 นายกลับกัมพูชาตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเพื่อตอบสนองต่อคำร้องขอเร่งด่วนจากประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ

กระทรวงกลาโหม กองทัพกัมพูชา และประชาคมระหว่างประเทศ จะยังคงเรียกร้องให้ประเทศไทยปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศต่อไป เรามุ่งมั่นที่จะสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีกำลังทหารคนใดถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือทอดทิ้ง จุดยืนของเรายังคงมั่นคงในการสนับสนุนการปล่อยตัวและส่งกลับอย่างปลอดภัย บุคลากรที่ถูกควบคุมตัวของเรา โดยเน้นย้ำถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานทางกฎหมายและมนุษยธรรม

กัมพูชาขอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการเคารพและปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดของข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด ตลอดจนเจตนารมณ์และเนื้อหา ที่บรรลุในการประชุมสมัยพิเศษของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 กัมพูชาขอเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นในการทำงานอย่างสร้างสรรค์ด้วยความจริงใจและความร่วมมืออย่างใกล้ชิด กับประเทศไทย มาเลเซีย และประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ รวมถึงหุ้นส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างมีประสิทธิภาพและครบถ้วน และจะแก้ไขข้อพิพาททั้งหมด โดยสันติตามกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎบัตรอาเซียน

ขณะที่ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงการณ์ถึง คำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ในเรื่องของปราสาทตาควาย ว่า "ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้ มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าจะเตรียมการนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม

"ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่อง การใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ไช่ความพยายามที่มีการยั่วยุ และมีการวางแผน ใช้กำลังทางทหารต่อกรณีประสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด"

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก สยามรัฐ

จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรและปล่อยพันธ์สัตว์น้ำ ถวายเป็นพระราชกุศล

21 นาทีที่แล้ว

"ทักษิณ" ทุ่ม 2.6 ล้าน สร้างบ้านน็อกดาวน์ ฟื้นชีวิตผู้เดือดร้อนชายแดนไทย-กัมพูชา

22 นาทีที่แล้ว

“ครูป่าไม้” ปลูกจิตสำนึกเยาวชน ส่งเสริมการอนุรักษ์ เรียนรู้สนุก เข้าใจง่าย เยาวชนมีส่วนร่วมดูแลป่าอย่างเห็นผล

28 นาทีที่แล้ว

"ภูมิธรรม" นำคณะรัฐมนตรี - องคมนตรี ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล วันแม่แห่งชาติ

30 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม