หนุ่มร้องทนายดัง ถูกหมอสาวอ้างท้องหลอกแต่งงาน สูญสินสอด 1.2 ล้าน
วันที่ 11 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายตั้ม (นามสมมุติ) อายุ 37 ปี หนุ่มฟรีแลนซ์ เดินทางเข้าพบทนายรัชพล ศิริสาคร ทนายความคนดังเพื่อปรึกษาคดี หลังหญิงสาวรายหนึ่ง เป็นหมอในจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าทักมาจีบและคบหากัน ก่อนที่ฝ่ายหญิงขอแต่งงาน โดยฝ่ายหนุ่มฟรีแลนซ์เป็นฝ่ายจัดงานแต่งงานขึ้นพร้อมสินสอดมูลค่า 1.2 ล้านบาท
ต่อมาหลังแต่งงานได้ไม่นาน ฝ่ายหญิง อ้างว่าตั้งครรถ์มาก่อนแต่ง ทำให้ฝ่ายชายเกิดความสงสัยจึงขอตรวจดีเอ็นเอลูกในท้องแต่กลับถูกทาง ฝ่ายหญิงปฎิเสธ และถูกทางครอบครัวฝ่ายหญิงกีดกันไม่ให้เข้าไปที่บ้าน โดยอ้างว่าฝ่ายชายเป็นมลพิษกับครอบครัว ทำให้ต่อมาฝ่ายชายยื่นขอสินสอดจำนวน 1.2 ล้านบาทที่กู้ยืมมาแต่งงานคืน แต่กับถูกฝ่ายหญิงปฎิเสธคืนสินสอด และฝ่ายชายยังถูกแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาคุกคามอีก ทำให้ต้องเดินทางมาปรึกษาทนายรัชพล เพื่อขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมาย
โดยนายตั้ม กล่าวว่า ตนไร้ทางออกไม่รู้ว่าจะต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างไรต่อไป แม้ว่าตนกับฝ่ายหญิงจะแต่งงานกัน แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสเพราะฝ่ายหญิงปฎิเสธ จนกระทั่งมามีเรื่องตั้งครรถ์เด็กในท้องขึ้น ตนก็ขอให้ทางฝ่ายหญิงตรวจดีเอ็นเอเด็กเพราะฝ่ายหญิงบอกว่าตั้งครรถ์มาก่อนงานแต่งงาน ซึ่งทุกอย่างก็ไม่น่ามีอะไรถ้าฝ่ายหญิงบริสุทธิ์ใจ แต่งงานก็ไม่จดทะเบียน ตรวจดีเอ็นเอเด็กในท้องก็ไม่ให้ตรวจ เข้าบ้านฝ่ายหญิงก็ไม่ได้และยังถูกตั้งข้อรังเกียจว่าตนมีสภาวะเป็นพิษกับครอบครัวเขาอีก เมื่อตนขอสินสอดที่ไปกู้ยืมมาจัดงานแต่งงานกับถูกปฎิเสธไม่คืนให้อีก และยังไปแจ้งความฟ้องร้องต่อศาลว่าถูกตนตามคุกคาม ทั้งๆ ที่ตนไปติดตามทวงสินสอด 1.2 ล้านบาทกลับคืน
หนุ่มรายนี้ เปิดเผยอีกว่า หลังเกิดเรื่องตนจึงได้สืบหาข้อเท็จจริงจึงพบว่าฝ่ายหญิงรายนี้มีชายหนุ่มมาติดพันและแอบคบหาอยู่ก่อนแล้วก่อนที่จะคบหาแล้วแต่งงานกับตน จึงเป็นที่มาขอการขอตรวจดีเอ็นเอเด็กในท้องเพื่อความสบายใจ เพราะหากเป็นลูกตนจริง ตนก็ยินดีส่งเสียเลี้ยงดูลูกของตน แต่ตนกลับถูกปฎิเสธและกีดกันต่างๆนานา จนทุกวันนี้เด็กคลอดออกมาเกือบ 10 เดือนแล้ว ตนยังไม่เคยได้เจอหน้าเด็กเลย
ทางด้านทนายรัชพล กล่าวว่า การแต่งงานโดยไม่จดทะเบียนสมรสนั้น ถือว่าไม่มีข้อผูกผันทางกฎหมาย ไม่ใช่ผัวเมียกันตามกฎหมาย ส่วนประเด็นการไปร้องต่อศาลของเป็นผู้ปกครองเด็กนั้น ถ้าศาลมีคำสั่งแล้วฝ่ายหญิงไม่ยอมตรวจดีเอ็นเอ ทางข้อกฎหมายจะให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเด็กในท้องเป็นลูกของเราเอาไว้ก่อน จากเรื่องราวที่ตนรับฟังมาตนก็อยากให้ทั้งสองฝ่ายตกลงเจรจาแล้วจบกันด้วยดี เพราะหากมีการฟ้องร้องกันต่อไปตนมองว่าฝ่ายหญิงมีโอกาสแพ้คดีสูง เพราะไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเด็กในท้องเป็นลูกของฝ่ายชาย แต่กลับไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการว่าเด็กในท้องไม่ใช่ลูกของฝ่ายชาย ซึ่งเป็นการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ซึ่งหากฝ่ายชายจะดำเนินคดีกับฝ่ายหญิงในข้อหาให้การอันเป็นเท็จก็จะมีความผิดอาญาตามมาจนถึงขั้นอาจติดคุกได้ ฉะนั้นการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายต้องหันมามาพูดคุยกันแล้วให้จบเรื่องลงด้วยดีจะเป็นผลดีกัยทางสองฝ่าย