โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เบื้องหลัง พระราชดำรัส ร.4 เรื่องเสียเมืองเขมร "เราขอบอกท่านด้วยความเจ็บปวดยิ่ง"

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 11 ชั่วโมงที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

เบื้องหลัง พระราชดำรัส ร.4 เรื่องเสียเมืองเขมร “เราขอบอกท่านด้วยความเจ็บปวดยิ่ง”

เช้าตรู่อันสดใสในฤดูหนาวของวันที่ 19 มกราคม 2410 พระจอมเกล้าฯ ทรงร่างพระราชหัตถเลขาอันสะเทือนใจขึ้นฉบับหนึ่งส่งไปยังปารีส เรียงร้อยถ้อยคำความโทมนัสคับแค้นพระทัยตามลำพังพระองค์ โดยปราศจากการรู้เห็นของผู้ใดแม้คนที่ใกล้ชิดที่สุด เพราะเป็นในทางลับ ด้วยพระพจนารถอันห้วนสั้นแต่กินใจ เจาะจงถึงตัวผู้รับอย่างไม่อ้อมค้อมว่า…

เราขอบอกท่านด้วยความเจ็บปวดยิ่ง สืบเนื่องจากเหตุการณ์อันไม่สมควรมากมายหลายครั้ง ซึ่งกระทำซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยบรรดาผู้แทนของฝรั่งเศส เหตุการณ์ไม่สมควรดังกล่าวไม่ต้องสงสัยเลยว่ารัฐบาลแห่งสมเด็จพระจักรพรรดิมิได้ล่วงรู้…เราขอให้ท่านได้โปรดให้ความยุติธรรมต่อคำร้องขอของเรา และตัดสินใจในทางเอื้ออำนวยให้เราได้รักษาและครอบครองต่อไปอย่างสงบสุข ซึ่งบรรดาหัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ในอำนาจของเรามาช้านาน นับได้ว่ากว่าสี่รัชสมัยต่อกันมาแล้วเป็นระยะเวลา 84 ปี ทั้งเรายังขอให้เลิกการกระทำอันมิชอบบางประการอันมีแนวโน้มที่จะรบกวนความสงบสุขแห่งรัฐของเรา”[1]

ศุภอักษรดังกล่าวถึงที่หมายปลายทางตามพระราชประสงค์ ทว่ามิได้ทำให้พระราโชบายของพระจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเร่งเร้าให้แผนการผนวกเขมรไว้ในจักรวรรดิรุดหน้าไปเร็วขึ้นอีก

ปี พ.ศ. 2540 หรือ 130 ปี ภายหลังพระราชหัตถเลขาสำคัญฉบับนั้น ผู้เขียนจึงได้ไปเห็น“อุดงมีชัย” จุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดความภาคภูมิใจหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์สยาม นี่คือเมืองหลวงเฉพาะการที่สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดให้ถอดแบบกรุงเทพฯ ไปสร้างไว้เป็นพระเกียรติยศ ช่างเป็นการไปที่น่าตื่นเต้นยิ่ง แต่สิ่งที่พบนั้นดูจะเป็นเรื่องที่พระจอมเกล้าฯ ทรงหวั่นพระทัยเป็นที่สุด ต้องมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ในพระศุภอักษรอันขมขื่นนั้น

อุดงมีชัย วันนี้ถูกทิ้งร้างไว้เหลือเพียงซากปรักหักพังที่ยับเยิน มีป้ายเล็กๆ ริมทางเขียนเป็นอักษรโรมันอย่างเสียไม่ได้ว่า“UDONG” ความอลังการภูมิฐานของสถาปัตยกรรมเขมรสายรัตนโกสินทร์ ได้หายไปจนหมดสิ้น ไม่มีศาลองค์บดินทร์ที่เจ้าเขมรเคยยกย่อง แม้ชื่อของวีรบุรุษจากสยามก็ไม่มีใครเคยได้ยิน ทุกอย่างเป็นอดีตที่ไร้ร่องรอย ตำนานอันยิ่งใหญ่กลายเป็นเศษชิ้นส่วนที่ซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดในพงศาวดารไทย แต่ก็พอให้หัวใจของผู้มาเยือนพองโตได้ชั่วขณะ

เขมรเคยตกเป็นเมืองขึ้นของไทยมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เมื่อไทยเสียกรุงแก่พม่านั้น เมืองในอารักขาทั้งหลายถือโอกาสตั้งตนเป็นอิสระ ในปี พ.ศ. 2325 ขณะที่เจ้านายเขมรเกิดแย่งชิงอำนาจกันภายใน พระยายมราช (แบน) ขุนนางสยามได้ลอบพานักองค์เอง รัชทายาทเขมรที่เหลืออยู่เพียงพระองค์เดียวหลบหนีเข้ามายังกรุงเทพฯ พระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงพระกรุณารับอุปการะเจ้าชายองค์น้อย ชนมายุเพียง 10 ชันษาเป็นพระราชบุตรบุญธรรม ส่วนสมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าก็กราบทูลขอพระประยูรญาติฝ่ายหญิงที่ติดตามมาด้วย คือนักองค์อี และนักองค์ภา เป็นบาทบริจาริกาในพระราชวังบวร[2] ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ไทยกับเขมรได้เกิดขึ้นนับแต่นั้น

พระพุทธยอดฟ้าฯ โปรดให้สร้างวังขึ้นริมคลองคูพระนครเยื้องปากคลองหลอด เรียกวังเจ้าเขมรให้พำนักอยู่จนนักองค์เองชนมายุ 22 ชันษา จึงโปรดให้กลับไปครองเขมร ทรงพระนามว่าพระนารายณ์รามาธิบดี และทรงปูนบำเหน็จให้ท่านแบนเป็นพระยาอภัยภูเบศร์ (ต้นตระกูลอภัยวงศ์) ครองเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ซึ่งพระนารายณ์รามาธิบดี ทูลเกล้าฯ ถวายให้แยกออกจากเขมรส่วนนอกเป็นสิทธิ์ขาดแก่ไทย โอรสพระเจ้าแผ่นดินเขมรทุกพระองค์ต้องเข้ามารับการอบรมศึกษาในราชสำนักไทยที่กรุงเทพฯ เจ้าฟ้าเขมรรุ่นต่อมาได้รับการอุปการะอย่างพระราชบุตรบุญธรรมในพระเจ้าแผ่นดินไทยทุกพระองค์ ความผูกพันอันสนิทสนมได้หล่อหลอมเป็นความจงรักภักดี

เมื่อขึ้นรัชกาลที่ 4 คำปฏิญาณครั้งบรรพชนกำลังถูกลบล้างลงอย่างน่าอัปยศ ฝรั่งเศสส่งชาร์ล เดอ มงตีญี เป็นทูตเข้ามาเฝ้ายังกรุงเทพฯ และได้ขออนุญาตอย่างนอบน้อมเพื่อไปเยี่ยมเยียนราชสำนักเขมร ณ อุดงมีชัย ในปี พ.ศ. 2403 พระจอมเกล้าฯ ทรงสถาปนานักองค์ราชาวดี (พระนโรดม) ไปครองกรุงกัมพูชา กรุงปารีสเห็นเป็นจังหวะดีจึงส่ง ม.กรองดิแยร์ เข้ามาขอเฝ้ากษัตริย์เขมรองค์ใหม่ แล้วเลยถือโอกาสแย้มให้เห็นผลประโยชน์ที่เขมรจะได้รับ ถ้าทำสัญญากับฝรั่งเศส

ฝ่ายเขมรมิได้เฉลียวใจว่า ฝรั่งเศสต้องการใช้ชัยภูมิของตนเป็นฐานในการขยายอิทธิพลสู่จีน และเพื่อกำจัดบทบาทของสยามมิให้มีอีกต่อไป

รัฐบาลไทยคัดค้านการกระทำอันอุกอาจนี้ ร.4 ทรงมีพระราชหัตถเลขาแสดงความขัดเคืองพระทัยอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนถึงมงตีญี (ดูพระศุภอักษรตอนต้นเรื่อง-ผู้เขียน) ที่กรุงปารีส

สถานการณ์อันเลวร้ายนี้ นับเป็นวิกฤตการณ์ที่พระจอมเกล้าฯ ทรงโทมนัสคับแค้นพระราชหฤทัยมากที่สุดในรัชสมัยของพระองค์ เนื่องจากไม่เคยมีมหาอำนาจชาติใดบังอาจหมิ่นพระราชอำนาจถึงขนาดนี้ ทรงถือว่าการลิดรอนสิทธิ์ความเป็นเจ้าอธิราชอันเคร่งครัดของพระองค์นั้น เป็นความเสื่อมเสียถึงพระบรมเดชานุภาพของบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งปฐมวงศ์จักรี และลบหลู่กฤดาภินิหารของพระบรมราชบรรพบุรุษทุกรัชกาล ในบั้นปลายของการทัดทานพระราชวินิจฉัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ที่ดูไร้ผลนี้ ทรงเล็งเห็นการสูญเสียพระราชอาณาเขตอันเป็นที่รักยิ่งไปอย่างไม่มีวันคืน

ในปี พ.ศ. 2403 นั้นเอง ทรงมีพระราชดำริให้รื้อปราสาทเขมรอันหาค่ามิได้ 2 หลัง เข้ามาไว้ในกรุงเทพฯ เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการรำลึกถึงตลอดไป ทรงกำหนดให้ขนย้ายมาไว้ที่เขามหาสวรรค์หลังหนึ่ง และที่วัดปทุมวันอีกหลังหนึ่ง ทรงคัดเลือกปราสาทตาพรหมอันงดงามเป็นหลังแรก (เอกลักษณ์ของปราสาทนี้มีต้นสโปงยักษ์ยืนต้นออกรากใหญ่เลื้อยไปตามกำแพง-ผู้เขียน) แต่กลับไม่สำเร็จ ให้มีอาเพศเป็นกองทัพเขมรโบราณฮือออกมาจากป่าฆ่าขุนนางผู้คุมเสียชีวิต จึงโปรดให้ระงับแผนการทั้งหมด แล้วให้จำลองปราสาทนครวัดขนาดเล็กเข้ามาสร้างไว้แทนภายในวัดพระศรีรัตนศาสดารามปรากฏอยู่จนทุกวันนี้

ปี พ.ศ. 2543 ผู้เขียนมีโอกาสไปเที่ยวงานนิทรรศการสิ่งพิมพ์โบราณที่ปารีส ได้ค้นพบหลักฐานเพิ่มเติม 4-5 ชิ้น เกี่ยวเนื่องด้วยการเสียเขมรส่วนใน สมัย ร.5 และเรื่องเจ้าศรีสวัสดิ์เสด็จประพาสฝรั่งเศส เพื่อเจรจารับคืนดินแดนจากสยาม นับเป็นเหตุการณ์ที่ยืนยันการเสียหัวเมืองเขมรอย่างถาวร[3] จึงได้นำมาลงไว้ด้วยเพื่อความสมบูรณ์ของเรื่อง

พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงสืบทอดเจตนารมณ์ในการปกป้องอธิปไตยเหนือเขตขัณฑสีมาอย่างเหนียวแน่นในรัชกาลต่อมา เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 นั้น จำต้องทรงสละดินแดนบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้อีก โดยฝรั่งเศสยึดจันทบุรีไว้เป็นประกัน แต่หลังจากที่ถอนออกไปแล้วก็กลับไปยึดเมืองตราดไว้แทน

เมืองตราดนั้น ฝรั่งเศสเข้าใจว่าพลเมืองเป็นชาวเขมร เพิ่งมาพบตอนหลังว่าเป็นไทยทั้งหมด จึงพยายามหาหนทางเปลี่ยนดินแดนผืนใหม่

คงจำกันได้ว่าตั้งแต่รัชกาลที่ 1 กษัตริย์เขมรได้ถวายเมืองพระตะบอง เสียมราฐ ให้เป็นสิทธิ์ขาดขึ้นกับไทย แล้วถือเป็นอภิสิทธิ์อันชอบธรรมบริเวณเดียวในเขมรที่ทุกฝ่ายยอมรับ ในระหว่างนั้นฝรั่งเศสกำลังวางโครงการสร้างทางรถไฟสายไซ่ง่อน-ฮานอย วิธีลดค่าใช้จ่ายที่สุดคือสร้างผ่านพระตะบอง และฝั่งขวาของแม่น้ำโขง จึงหมายตาเขมรส่วนในของสยามอย่างรอบคอบที่สุด

ปัญหา “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เป็นประเด็นการเมืองที่นำมาซึ่งความยุ่งยากในการปกครอง และการตัดสินคดีความตามกฎหมายของไทย โดยสนธิสัญญาฉบับ พ.ศ. 2399 กำหนดว่า คนฝรั่งเศสอยู่ภายใต้ความคุ้มครองของกงสุลฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมแทรกแซงกิจการภายในของสยาม สิทธิ์นี้ยังคุ้มครองไปถึงประชาชนประเภทต่างๆ ซึ่งอ้างตนว่าเป็นคนในบังคับฝรั่งเศส เอื้อให้เกิดการหลบเลี่ยงมาตรการต่างๆ ของไทย คนเหล่านี้มีตั้งแต่ชาวจีนจากโคชินไชน่า, กบฏชาวเขมร ตลอดจนชาวญวนนับถือคริสต์ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น และ ฯลฯ สร้างข้อพิพาทนานาประการระหว่างรัฐบาลไทยและฝรั่งเศส

ในปี พ.ศ. 2449 หัวหน้าคณะปักปันพรมแดนชาวฝรั่งเศสเห็นโอกาสเหมาะ จึงเสนอให้แลกเปลี่ยนเมืองตราดและด่านซ้ายกับเมืองพระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ แล้วจะยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้ไทย เพื่อขจัดปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และการที่สยามประสบมานาน และเพื่อมิให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงตัดพระทัยยกดินแดนเขมรส่วนสุดท้าย ซึ่งเป็นหัวเมืองประเทศราชที่สยามหวงแหนที่สุด ให้ตกเป็นเขมรในอารักขาของฝรั่งเศสสืบไป

ประวัติการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ตลอดกาลของเขมรในยุคจักรวรรดินิยม เป็นการที่ประมุขสำคัญ “องค์ที่ 2” จากตะวันออกไกลเสด็จประพาสฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2449 ก่อนการที่พระจุลจอมเกล้าฯ จะเสด็จประพาสยุโรปใน พ.ศ. 2450 รัฐบาลฝรั่งเศสได้ทูลเชิญพระเจ้าศรีสวัสดิ์ประมุขเขมรให้เสด็จฯ ไปฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เพื่อปรึกษาข้อราชการและเตรียมรับมอบเขมรส่วนในคืนจากสยามในขั้นตอนสุดท้าย ซึ่งฝรั่งเศสต้องการให้เป็นไปก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะเสด็จออกจากประเทศสยาม

พระเจ้าศรีสวัสดิ์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในฐานะ “พระเจ้าแผ่นดินใหญ่ของพระราชอาณาจักรสำคัญในบุรพาทิศ” ชาวปารีเซียนตื่นเต้นกับการเผยแพร่วัฒนธรรมขอมอันน่าทึ่งเป็น 1 ในสิ่งมหัศจรรย์ทั้ง 7 ของโลกที่มีอยู่ในจักรวรรดิอย่างภูมิใจ

เขมรได้ผ่านวิกฤตการณ์มากมายจากการเข้าครอบงำของมหาอำนาจอื่นอีก เช่นสหรัฐอเมริกา กระทั่งคนเขมรด้วยกันเองในยุคเขมรแดง อธิราชของพระเจ้าแผ่นดินสยามเหนือประเทศราชในภูมิภาคนี้ประดุจ “พ่อปกครองลูก” นับเป็นหลักฐานสำคัญของสถานการณ์เบื้องหลังการเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัย ร.4 และ ร.5 ที่น่ารู้อย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

เชิงอรรถ

[1] เพ็ญศรี ดุ๊ก. การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย. กรุงเทพฯ ราชบัณฑิตยสถาน 2542

[2] รวมเรื่องเกี่ยวกับญวนและเขมรในสมัยรัตนโกสินทร์ อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพนายโฆสิต เวชชาชีวะ เมษายน 2507

[3] หนังสือ A Travers Le Monde ค.ศ. 1907 เรื่องสนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม : จุฬาลงกรณ์และศรีสวัสดิ์ และหนังสือพิมพ์ Le Petit Journal ฉบับ 24 มิถุนายน และ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2449

เผยแพร่เนื้อหาในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 17 กุมภาพันธ์ 2560

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เบื้องหลัง พระราชดำรัส ร.4 เรื่องเสียเมืองเขมร “เราขอบอกท่านด้วยความเจ็บปวดยิ่ง”

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ศิลปวัฒนธรรม

ก่อนจะมาเป็นจังหวัดชุมพร เมืองนี้ได้ชื่อว่า “เมืองเคราะห์ร้าย”

10 ชั่วโมงที่ผ่านมา

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ กับเบื้องหลังการเปลี่ยนสัญชาติเป็น “เยอรมัน” แล้วก่อนหน้านี้เขามีสัญชาติอะไร?

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กำแพงเมืองจีน ไม่ใช่สร้างแค่ในสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ แต่สร้าง-ซ่อมในหลายราชวงศ์

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

พิมาย เมืองพุทธ-มหายาน เก่าแก่สุดในลุ่มน้ำโขง ต้นแบบ “ปราสาทนครวัด”

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ภาษีทรัมป์ 19% ยังไม่จบ

ประชาชาติธุรกิจ

ฝ่ายสื่อทำเนียบขาวเผยว่า ดราม่าแคมเปญ Sydney Sweeney ของ American Eagle เป็นเหตุผลทำให้คนเลือกทรัมป์

THE STANDARD

“จะเปิดเพลง Justin Bieber ก็ได้” Ozzy Osbourne ไม่ต้องการให้ผู้คนโศกเศร้าในงานศพของเขา

THE STANDARD

Instagram ปรับกฎเกณฑ์ใหม่ ต้องมีผู้ติดตาม 1,000 คน ถึงจะ Live ได้

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

ออม สุชาร์ เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ลิปสติกเนื้อ Emulsion แรกของแบรนด์ Fleen Beauty

THE STANDARD

40 ปี RCB Auctions บริษัทประมูลศิลปวัตถุแห่งแรกในไทย

Sarakadee Lite

Big Bad Wolf Books 2025 เทศกาลหนังสือภาษาอังกฤษกลับมาที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง

LSA Thailand

‘ธัญพร เนื้อตุ๋น’ ขายมา 33 ปี ใน ‘ซอยวัชรพล’ หมูตุ๋น ก็อร่อยนะ

กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

เบื้องหลัง พระราชดำรัส ร.4 เรื่องเสียเมืองเขมร "เราขอบอกท่านด้วยความเจ็บปวดยิ่ง"

ศิลปวัฒนธรรม

"ยักษ์วัดแจ้ง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" มีที่มาจากไหน?

ศิลปวัฒนธรรม

อภินิหารพระราชสมภพพระเจ้าตาก : “ 4 ส่วน” ยาวเสมอกัน-ฟ้าผ่ากลางเรือน-งูเหลือมขดล้อม

ศิลปวัฒนธรรม
ดูเพิ่ม
Loading...