ภาษีทรัมป์ 19% ยังไม่จบ
บทบรรณาธิการ
หลังเวลาผ่านไป 4 เดือน (2 เมษายน 2568) นับจากวันที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่จะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าที่ได้ดุลการค้ากับสหรัฐ ปรากฏ ประเทศไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ ในอัตรา 19% จากอัตราเบื้องต้นที่ถูกตั้งไว้สูงถึง 36% โดยอัตราภาษีดังกล่าว จะถูกใช้ในกลุ่มประเทศอาเซียน ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม 20% (อัตราเบื้องต้น 46%) กัมพูชา 19% (อัตราเบื้องต้น 49%) มาเลเซีย 19% (อัตราเบื้องต้น 24%) อินโดนีเซีย 19% (อัตราเบื้องต้น 32% ) และฟิลิปปินส์ 19% (อัตราเบื้องต้น 17%) ในขณะที่สิงคโปร์ อัตราภาษีตอบโต้ยังคงเท่าเดิมคือ 10%
ประเทศในกลุ่มอาเซียนข้างต้นได้เปิดการเจรจาเพื่อลดภาษีตอบโต้กับสหรัฐอย่างเข้มข้น บางประเทศเปิดเจรจามาตั้งแต่ต้น แต่บางประเทศอย่าง ไทย มาเปิดเจรจาเอาในช่วงสุดท้าย ก่อนเส้นตายวันที่ 1 กรกฎาคม และถูกขยายไปเป็นวันที่ 1 สิงหาคม โดยสิ่งที่ทุกประเทศเจอก็คือ สหรัฐ เรียกร้องให้มีการลดภาษีนำเข้าเป็น 0% ไม่มีการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี (NTB) ซื้อสินค้าสหรัฐเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องบิน อาวุธยุทโธปกรณ์ พลังงาน การเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าในสหรัฐ การไม่มีข้อจำกัดทางด้านการแข่งขันเพื่อให้บริษัทสหรัฐเข้าถึงการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ รวมไปถึงการมีเงื่อนไขในด้านความมั่นคงทางการเมือง
เฉพาะกรณีของประเทศไทย นอกเหนือจากการเปิดตลาดและลดภาษีให้กับสินค้าสหรัฐแล้ว ในช่วงการเจรจาท้าย ๆ ยังมีปรากฏการณ์พิเศษจากปัญหาการปะทะกันระหว่าง ไทย กับ กัมพูชา บริเวณชายแดน 2 ประเทศ ส่งผลให้ประธานาธิบดีสหรัฐใช้เป็น “คำขู่” ว่าจะไม่ทำความตกลงทางด้านการลดภาษีจนกว่าทั้ง 2 ประเทศจะประกาศหยุดยิงและมุ่งเข้าสู่โต๊ะเจรจา กลายเป็นการนำเรื่องทางด้านความมั่นคงในภูมิภาคเข้ามาแทรกแซงผสมปนเปไปกับการสร้างเงื่อนไขเพื่อลดภาษีตอบโต้เข้าไปด้วย
อันเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า ภาษีตอบโต้ Reciprocal ไม่ได้เป็นเครื่องมือที่จะ “ลด” หรือ “สร้างสมดุล” ทางการค้าระหว่างกันแต่เพียงอย่างเดียว แต่การขึ้นภาษียังกินความคลุมไปถึงเรื่อง “ความมั่นคง” ที่สหรัฐจะใช้เป็นข้ออ้างเข้ามาแทรกแซงประเทศในภูมิภาคที่จะส่งผลกระทบทางด้านการเมืองต่อสหรัฐต่อไปด้วย ดังนั้นท่ามกลางความยินดีที่คณะเจรจาฝ่ายไทยสามารถลดภาษีตอบโต้ลงมาเหลือแค่ 19% อันเป็นอัตราภาษีที่ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ ทั้งในกลุ่มอาเซียนและนอกกลุ่มอาเซียนได้นั้น
รัฐบาลและภาคเอกชนจำต้องรู้เท่าทัน “วิธีการ” ของสหรัฐ และแยกแยะกำหนดระดับความสำคัญของปัญหาและผลกระทบที่ประเทศไทยจะได้รับ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติให้ดีที่สุด จากการเจรจาในรายละเอียดของข้อตกลงเพื่อลดภาษี ทั้งการยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี รายการสินค้าที่จะถูกเก็บภาษี 0% การแอบอ้างสิทธิเพื่อการส่งออก การเข้ามาลงทุนของสหรัฐในประเทศ การทะลักของสินค้าจากประเทศที่สามที่จะตามมาในไม่ช้า
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาษีทรัมป์ 19% ยังไม่จบ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net