SCGD ยกเวียดนามฮับส่งออก เสนาปรับ 720 องศาฝ่าวิกฤต
ภาษีทรัมป์ 19% บวกสงครามชายแดนสร้างแรงกระเพื่อมหนักในช่วงครึ่งปีหลัง “SCG Decor” คาดยอดขายทั้งปี -5% แต่ความสามารถทำกำไรดีขึ้นต่อเนื่อง แผน 3 ปีเพิ่มน้ำหนักลงทุนฐานผลิตในเวียดนามเป็นฮับส่งออกทั่วโลก “เสนา ดีเวลลอปเม้นท์” พลิกเกมการเงิน คืนหนี้หุ้นกู้ 1,500 ล้านก่อนกำหนด แปลงแอสเซตห้องชุดรอขายเป็นรายได้ เช่าคอนโดฯ เดือนละ 6,000-7,000 บาททั่วเมืองกรุง
เทรนด์การทำธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าไม่มีผู้ประกอบการรายใดอยู่อย่างสุขสบาย เพราะมีปัจจัยลบใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะปัจจัยกดดันหนักหน่วงจากภาษีทรัมป์กับสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา
นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCG Decor หรือ SCGD เปิดเผยว่า ภาพรวมไตรมาส 2/68 ยอดขายรวมลด -22% มีจำนวน 5,770 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 2/67 ที่มีจำนวน 6,566 ล้านบาท ขณะที่ตลาดต่างประเทศดีขึ้น สะท้อนความสามารถทำกำไรดีขึ้นต่อเนื่อง และดีที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส แม้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย
ผงาด “อาเซียนเพลเยอร์”
ทั้งนี้ ผลประกอบการไม่รวมค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างธุรกิจในไตรมาส 2/68 มี Ebitda 879 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เทียบกับไตรมาส 1/68 มีกำไร 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เทียบกับไตรมาส 1/68 จากโครงการลดต้นทุนพลังงาน เร่งผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) รวมถึงปรับโครงสร้างธุรกิจ ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่ลดลง บริษัทมี EBITDA on Sales 15.2% มีอัตรากำไรสุทธิ 4.8% สูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2/67
“ปัจจุบัน SCG Decor ไม่ได้ทำตลาดกระเบื้องแค่ในไทย แต่เราเป็นระดับอาเซียนเพลเยอร์ ภาพรวมยอดขายกระเบื้องเพิ่ม 2.3% เทียบไตรมาสต่อไตรมาส อยู่ที่ 31.7 ล้านตารางเมตร ดังนั้น ถึงแม้สถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เวียดนามยังขยายตัว ทำให้บริษัทเดินหน้าตลาดที่ยังไปได้ดี”
แนวโน้มภาพรวมปี 2568 ทั้งปี ประเมินว่าในครึ่งปีแรกที่ตลาดในประเทศไทยชะลอตัว -12% แต่เมื่อถัวกับตลาดอาเซียน คาดว่าสิ้นปีนี้อาจจะลดลงเล็กน้อยที่ -5% โดยงบฯ ลงทุนที่ประกาศเป้าไว้ 7,000 ล้านบาท ยังเดินหน้าตามแผน ในจำนวนนี้จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปที่ฐานผลิตในเวียดนาม ส่วนที่เหลือในไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เน้นการปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อลดต้นทุนดำเนินการ
ส่งออกเขมรจิ๊บ ๆ 30 ล้าน/เดือน
สำหรับภาวะสงครามชายแดนไทย-กัมพูชา นายนำพลกล่าวว่า ณ ขณะนี้ตลาดกัมพูชามีผลกระทบไม่มาก โดย SCG Decor ส่งออกกระเบื้องและวัสดุตกแต่งผ่านการขนส่งทางรถ ทางช่องทางชายแดนปอยเปต มูลค่าส่งออกเดือนละ 30 ล้านบาท ยอดขายไม่เยอะเมื่อเทียบกับพอร์ตรวม บริษัทคาดหวังสถานการณ์จบลงโดยเร็ว เพราะคนเดือดร้อนเป็นชาวบ้านจริง ๆ และยังมีความต้องการใช้สินค้าเราต่อเนื่อง สิ่งที่ทำได้เป็นเตรียมการสินค้าที่ใช้ต่อเนื่องไว้ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง ในกลุ่มสินค้าเซรามิกกับกระเบื้อง
“เทรนด์ครึ่งปีหลังตลาดกัมพูชาแม้ยอดขายไม่เยอะมาก แต่เราเตรียมความพร้อม ถ้าสถานการณ์กลับมาสงบเร็วเท่าไหร่ ผมเชื่อว่ายอดขายไม่หายไปไหน ตอนนี้สงครามทำให้ซัพพลายขาด ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น เมื่อกลับมาปกติเมื่อไหร่ สินค้าส่งเข้าไปขายได้ปุ๊บ ทุกอย่างจะกลับมาปกติ โดยบ้านที่กำลังสร้างบ้าน กำลังจะปูกระเบื้องอาจชะลอไปนิดหนึ่ง ถ้าสงบเร็ว ยอดขายแทบไม่กระทบเลย โดยยอดขายที่หายไปจะกลับเข้ามาทบเพิ่มเติมขึ้น”
ในด้านความเชื่อมั่นการค้าการลงทุนในตลาดกัมพูชาในระยะยาว คำตอบเน้นย้ำคือบริษัทเอาใจช่วยให้เหตุการณ์กลับมาปกติ เพราะคนเดือดร้อนเป็นชาวบ้านจริง ๆ ส่วนความเชื่อมั่นขอบริษัท ส่วนใหญ่เป็นการส่งสินค้าเข้าไปขาย มีตัวแทนการขาย ถ้าตลาดกลับมาปกติ ตัวแทนการขายก็ยังคงค้าขายปกติเหมือนเดิม ฉะนั้น เหตุการณ์สงบเร็ว ทุกอย่างก็กลับมาปกติเร็ว
ดันเวียดนามเป็นฮับส่งออก
ถัดมา ผลกระทบจากภาษีทรัมป์กับเปอร์เซ็นต์ได้-เสียของธุรกิจ SCGD นายนำพลกล่าวว่า แยกทีละเรื่อง บริษัทใช้ฐานผลิตในไทยส่งออกไปสหรัฐ แต่ก็มีสัดส่วนน้อยมากเพียง 1% ของยอดขายรวม ดังนั้น ภาษีทรัมป์ในแง่ผลกระทบทางตรงจึงน้อยมาก แต่มีผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว เพราะจีดีพีไทยพึ่งการส่งออกสหรัฐสัดส่วน 18% ถ้าส่งออกได้ลดลง ภาพรวมตลาดก็จะซบเซาลง
สำหรับการส่งออกสหรัฐ บริษัทสามารถปรับโมเดลหันไปใช้ฐานผลิตในเวียดนามส่งออกเข้าสหรัฐแทนฐานผลิตในไทยได้
“มองหมวกโดเมสติกเพลเยอร์ กับหมวกอาเซียนเพลเยอร์ ผมมีสองกระเป๋า เวียดนามจะเกิดปัจจัยบวกเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตที่ดีขึ้น ภาษี 20% ในประเทศอื่น ๆ กลุ่มสินค้าเดียวกัน เฉลี่ยโดนภาษีประมาณนี้ แล้วเวียดนามเรามีฐานผลิตใหญ่ บวกกับมีต้นทุนที่ดี จะทำให้เกิดโอกาสการส่งออกใหม่”
ขณะเดียวกัน SCG Decor แผนลงทุน 3 ปีหน้า วงเงินรวม 7,000 ล้านบาทนั้น บริษัทวางเป้าเพิ่มสรรพกำลังการลงทุนไปที่เวียดนามให้เป็นฮับการส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก คาดว่าใช้วงเงินลงทุนครึ่งหนึ่ง รวมทั้งรองรับโอกาสทางธุรกิจในตลาดเวียดนามที่คาดว่าช่วง 1-3 ปีหน้า จะกลับมาเติบโตได้ดี
“ที่ผ่านมา เวียดนามชะลอในภาพอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีการปรับเปลี่ยนกฎหมายที่ดิน ทำให้ซัพพลายบ้านขาดแคลน บ้านมือสองราคาปรับเพิ่ม 50% ต่อมาเมื่อกฎหมายที่ดินเริ่มผ่อนคลาย โครงการอสังหาฯ เริ่มปรับตัวมากขึ้น เทรนด์ 2-3 ปีหน้า ตลาดเวียดนามจึงเป็นเป้าหมายการเติบโตของเรา โดยเฉพาะกระเบื้องพอร์ซเลน ที่ปัจจุบันผลิตขาย 25% ภายใน 3 ปีหน้า จะขยับเป็น 35-40%”
ไฮไลต์กระเบื้อง HVA ตัวบุก
ความสำคัญของฐานผลิตในเวียดนาม SCG Decor เพิ่งประสบความสำเร็จจากการลดต้นทุนการส่งออกที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งสำคัญคือจีนและอินเดีย เทียบเคียงกับต้นทุน 100 บาท ในปี 2567 บริษัทมีต้นทุนที่ 124 บาท สามารถลดลงเหลือ 100 บาท เท่ากันในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เป้าหมายเร็ว ๆ นี้ ภายในไตรมาส 3/68 จะลดต้นทุนลงอีกเหลือ 97 บาท ซึ่งเป็นจุดเพิ่มศักยภาพการแข่งขันกับสินค้าจีนและอินเดีย
สินค้าไฮไลต์ในไลน์ผลิตคือกระเบื้องเกลซพอร์ซเลน คุณสมบัติเป็นกระเบื้องไซซ์ใหญ่แบบขัดมัน มีความสวยงาม เป็นที่นิยมในตลาดอาเซียน ปัจจุบันบริษัทมีกำลังผลิตกระเบื้องในเวียดนามรวม 80 ล้าน ตร.ม.
สถิติปี 2567 การผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนมีสัดส่วน 17% เป้าภายในสิ้นปีนี้ จะขยับสัดส่วนเพิ่มเป็น 25% และภายในปี 2573 วางแผนใช้กำลังผลิตเพิ่มเป็น 50% เพื่อต้องการผลักดันให้กระเบื้องพอร์ซเลน ซึ่งเป็นสินค้ากระเบื้องในกลุ่มมูลค่าเพิ่มสูง หรือกระเบื้อง HVA-High Value Added เป็นสินค้าหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของ SCG Decor ในอนาคต
เสนาฯ ปรับกลยุทธ์ 720 องศา
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำยาวนาน ทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธ์ 360 องศา แบบปรับตัวหลายตลบและหลายรอบ บริษัทปรับกลยุทธ์ทุกมิติ หนึ่งในจุดที่สามารถทำได้ทันที โดยไม่เป็นภาระต่อการลงทุนใหม่ ก็คือจำนวนห้องชุดรอขาย ซึ่งเป็นทรัพย์สินในมืออยู่แล้ว
จากเดิมห้องชุดเป็นแอสเซต “เพื่อขาย” เพียงอย่างเดียว เสนาฯ ปรับโมเดลทำให้เป็น 3 in 1 โดยห้องชุด 1 ห้องจะมีช่องทางบริหารจัดการได้ 3 แนวทาง คือ 1.เพื่อขาย 2.เช่าออมบ้านผ่านโปรแกรม LivNex และ 3.เช่าคอนโดฯ ผ่านโปรแกรม RentNex
ทั้งนี้ เสนาฯ มีกลยุทธ์ผลิตสินค้าคอนโดมิเนียมเจาะลูกค้าเจน Y เป็นหลัก ราคา 1-3 ล้านบาท และเป็นผู้นำของตลาดคอนโดฯ เซ็กเมนต์ราคา 1-1.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาคอนโดฯ BOI ที่ผ่านมามีการกระจายลงทุนเปิดตัวบนทำเลใกล้นิคมอุตสาหกรรม เพราะเป็นฐานลูกค้ากลุ่มเป้าหมายหลักครบทุกนิคมอุตฯ ล่าสุดเริ่มกระจายทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้า
โฟกัสคอนโดฯ ห้องละ 1-1.5 ล้านบาท คำนวณออกมาสามารถสร้างผลตอบแทนในระดับน่าพอใจ จากการปล่อยเช่าเดือนละ 6,000-7,000 บาท ซึ่งมีดีมานด์การเช่าสูงสุดในตลาดเช่าคอนโดฯ
“โปรแกรม LivNex เช่าออมบ้าน กรณีลูกค้ากู้ไม่ผ่าน แต่ยังมีศักยภาพในการผ่อน เสนาฯ มีบริษัทลูกชื่อเงินสดใจดีเข้ามารองรับ ให้มาเช่าห้องชุดที่อยากได้ แล้วจ่ายเป็นค่าเช่า เราจะหักค่าดำเนินการ ซึ่งไม่เยอะ ที่เหลือจะคำนวณเป็นเงินต้นให้ เช่น ค่าเช่าเดือนละ 7,000 บาท จะเป็นเงินต้น 6,000 กว่าบาท ภายในเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยจ่ายตรงเข้าบัญชีธนาคารอาคารสงเคราะห์ ทำให้มีประวัติสินเชื่อเกิดขึ้นกับธนาคาร เมื่อค่าเช่าเทียบเท่าวงเงินดาวน์ แล้วก็จะส่งต่อให้กู้กับ ธอส.โดยตรง และรับโอนห้องชุดในท้ายที่สุด ปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้รับโอนห้องชุดไปแล้ว มูลค่า 1 พันกว่าล้านบาท”
ส่วนโมเดล RentNex โปรแกรมนวัตกรรมสร้างรายได้ค่าเช่า แต่มีออปชั่นพิเศษที่แตกต่างจากตลาดเช่าทั่วไป โดยเป็นรูปแบบสมาชิก ลูกค้าสามารถย้ายห้องเช่าในเครือเสนาฯ ที่กระจายทำเลโครงการทั่วกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องจ่ายค่ามัดจำใหม่ และมีความคล่องตัวในการย้ายทำเลเช่าเป็นไปตามไลฟ์สไตล์แต่ละคน
คืนหนี้หุ้นกู้ 1,530 ล้านก่อนกำหนด
ดร.เกษรากล่าวต่อว่า ช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ปัจจัยท้าทายยังคงเป็นเรื่องการบริหารจัดการด้านการเงิน วิธีการคิดฉีกกรอบของเสนาฯ มีเรื่องหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืน 1,530 ล้านบาท ในวันที่ 15 กันยายนนี้ แนวทางของเสนาฯ ต้องการเรียกความเชื่อมั่นจากผู้ถือหน่วยลงทุน ดังนั้น จึงจะคืนหนี้หุ้นกู้เต็มจำนวน 1,530 ล้านบาท ก่อนครบกำหนด 3-4 วัน
จากนั้น จึงจะเปิดขายหุ้นกู้รอบใหม่ในวงเงินเท่ากัน ซึ่งวิธีการนี้เป็นการส่งสัญญาณว่า 1.เสนาฯ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน สามารถคืนหนี้หุ้นกู้ได้ก่อนกำหนด 2.กรณีการขายหุ้นกู้รอบใหม่ไม่เต็มจำนวน บริษัทมีกระแสเงินสดที่สามารถเบิกใช้ได้ทันทีจากธนาคาร วงเงินรวม 4,000 ล้านบาท ธุรกิจก็ยังดำเนินได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม เสนาฯ คาดหวังว่าแผนธุรกิจที่สร้างการเติบโตยั่งยืนในระยะยาว ภายใต้ความใส่ใจกรีนแอ็กชั่นอย่างเคร่งครัดและเข้มข้นของบริษัท จะทำให้หุ้นกู้เสนาฯ ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับการขายหุ้นกู้ลอตใหม่ในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ จึงนำเสนออัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าอยู่ที่ 5% กว่า ๆ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่นที่แล้ว อยู่ที่ 4% ปลาย ๆ เท่ากับดอกเบี้ยหุ้นกู้เพิ่ม 1%
โดยครึ่งปีหลังมีไฮไลต์อย่างน้อย 2 เรื่องคือ 1.ผลักดันแคมเปญ “เฮ้ย อยู่ก่อน กู้ทีหลัง” ตั้งเป้าผลักดันยอดขายผ่านโปรแกรม LivNex จำนวน 5,000 ล้านบาท กับ 2.เดินหน้าลงทุนโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “โคซี่-COZI” เป็นคอนโดฯ ร่วมทุนกับกลุ่มฮันคิวฮันชินพร็อพเพอร์ตี้ จากญี่ปุ่น 4 โครงการใหม่ ได้แก่ โคซี่ รามอินทรา-คู้บอน, โคซี่ ศรีนครินทร์ 38, โคซี่ ลาดพร้าว และโคซี่ จอมทอง รวม 2,692 ยูนิต มูลค่ารวม 6,700 ล้านบาท รวมทั้งเปิดบ้านเดี่ยวเซ็กเมนต์ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป แบรนด์ “เสนา พาร์ค แกรนด์ 2 รามอินทรา”
ขณะที่มีคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมโอนในปีนี้ แบรนด์ เฟล็กซี่ เมกา สเปซ บางนา จำนวน 807 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : SCGD ยกเวียดนามฮับส่งออก เสนาปรับ 720 องศาฝ่าวิกฤต
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net