ตีตกยื่นยุบภท. อ้วน-ทวีลุ้นต่อ จุ้นสอบฮั้วสว.
ศาล รธน.ตีตกคำร้อง "ณฐพร" ฟ้อง กกต.เอื้อ "ภท.-เนวิน" ฮั้วเลือก สว. ส่วนคดี สว.ฟ้อง "ภูมิธรรม-ทวี" แทรกแซงตรวจสอบฮั้ว สว.ยังรอความเห็นและเอกสารจาก กกต. พร้อมสั่ง "ปธ.สภา" กลับตรวจสอบลายมือชื่อ "121 สส.ปชน." ร้องสอบ "พิเชษฐ์” ปมใช้งบสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ ปม "ทำประชามติแก้ รธน." ให้รอความเห็นผู้เชี่ยวชาญก่อนวินิจฉัย
เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญ (ศาล รธน.) ประชุมปรึกษาคดีเรื่องพิจารณาที่ 16/2568 กรณีนายณฐพร โตประยร (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาล รธน.วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้องที่ 1) และเลขาธิการ กกต. (ผู้ถูกร้องที่ 2) จัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน และเอื้อประโยชน์ให้พรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 3) กรรมการบริหารพรรค ภท. (ผู้ถูกร้องที่ 4) สว.รายชื่อปรากฏตามสำนวนการสอบสวนของ กกต. (ผู้ถูกร้องที่ 5) นายเนวิน ชิดชอบ (ผู้ถูกร้องที่ 6) นางกรุณา ชิดชอบ (ผู้ถูกร้องที่ 7) นายทองเจือ ชาติกิจเจริญ กับพวก (ผู้ถูกร้องที่ 8) นายศุภชัย โพธิ์สุ (ผู้ถูกร้องที่ 9) น.ส.วาริน ชิณวงศ์ (ผู้ถูกร้องที่ 10) นายสมเจตน์ ลิมปะพันธุ์ (ผู้ถูกร้องที่ 11) และนายสุบิน ศักดา (ผู้ถูกร้องที่ 12) ร่วมกันกระทำการโดยทุจริตในกระบวนการเลือก สว.
ผู้ถูกร้องที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 เป็นผู้ดำเนินการวางแผนและควบคุมกระบวนการทุจริตการเลือก สว. ทำให้ได้มาซึ่ง สว.จำนวน 138 คน และสำรองอีกจำนวน 2 คน อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ผู้ถูกร้องที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 12 เป็นผู้ดำเนินการตามแผนการทุจริตการเลือก สว.ดังกล่าว อันเป็นผลให้ผู้ถูกร้องที่ 5 ได้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่เป็น สว. แต่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยความไม่เป็นกลางทางการเมือง ไม่ชื่อสัตย์สุจริต และไม่เป็นไปตามกฎหมายการกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ถึงที่ 12 มีความเชื่อมโยงกันและร่วมกันทำเป็นขบวนการให้ได้มาซึ่ง สว. เพื่อใช้อำนาจปกครองประเทศโดยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมีได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ไปรัฐธรรมนูญ
ศาล รธน.พิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเพิ่มเติมและเอกสารประกอบปรากฏว่า การกระทำของผู้ถูกร้องที่ 1 ถึงที่ 12 ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทุจริตการเลือก สว. เป็นการกล่าวอ้างว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. และความผิดทางอาญา การกระทำดังกล่าวอยู่ภายใต้การตรวจสอบและดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาล รธน.มีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นอกจากนี้ ศาล รธน.พิจารณาคำร้องในคดีที่ สว. เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) โดยกล่าวอ้างว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ จากกรณีที่ผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต. โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว.ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่
ศาล รธน.อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และเพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา จึงให้รอความเห็นและเอกสารหลักฐานจากเลขาธิการ กกต. ซึ่งศาล รธน.เรียกไปก่อนหน้านี้
วันเดียวกัน ศาล รธน.พิจารณาคำร้องในคดีที่นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม. พรรคประชาชน และ สส. รวม 121 คน ในฐานะผู้ร้อง กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ 3 โครงการ ใช้งบประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 และงบประจำปี พ.ศ.2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง
ศาล รธน.พิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาของศาล รธน.ว่าจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ ในชั้นนี้ ให้มีหนังสือแจ้งให้ประธานสภาฯ ดำเนินการตรวจสอบลายมือชื่อของผู้ร้อง และจัดส่งเอกสารหลักฐานตามที่ศาล รธน.กำหนด ยื่นมาภายใน 7 วัน
ขณะที่ตุลาการศาล รธน.พิจารณาคำร้องกรณีประธานรัฐสภาส่งเรื่องให้วินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องทำประชามติจำนวนกี่ครั้ง โดยเห็นว่า พยานผู้เชี่ยวชาญบางท่านจัดส่งความเห็น ตามประเด็นที่ศาลกำหนดแล้วจึงรับรวมไว้ในสำนวน และเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาให้รอความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ ที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนต่อไป.