SCC ปรับเกมฝ่าพายุเศรษฐกิจโลก ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ เจาะตลาดใหม่
โลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันรอบด้าน ทั้ง นโยบายประเทศมหาอำนาจที่ไร้ความแน่นอน เศรษฐกิจโลกไม่เสถียร ต้นทุนพลังงานผันผวน พฤติกรรมผู้บริโภคที่แปรเปลี่ยน "บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC" ที่ยืนหยัดมากกว่า 100 ปี
ปรับกลยุทธ์จากผู้นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ทรานส์ฟอร์มองค์กรด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อวางรากฐานใหม่สู่การเติบโตในอนาคต
ปัจจุบัน SCC ประกอบธุรกิจการลงทุน (Holding company) ในกลุ่มธุรกิจหลัก
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง
เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล
เอสซีจี เดคคอร์
เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี)
เอสซีจีพี
"ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ยอมรับว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้จนถึงปี 2569 ยังคงเผชิญความผันผวนจากอัตราภาษีสินค้าที่นำเข้าสหรัฐฯมากกว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ระดับ 10% ทำให้ต้องเร่งขยายตลาดใหม่ๆ นอกเหนือจากตลาดสหรัฐฯ เช่น ทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลาง รวมถึงการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามบริษัทจะเร่งเดินหน้าทรานฟอร์มธุรกิจ อาทิ การลดต้นทุน การขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น และการลงทุนต่างๆที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง
ส่วนการบันทึกกำไรจากรายการพิเศษในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าจะมีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณาการขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรอยู่หลายรายการ อาทิ สินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและธุรกิจซีเมนต์ เป็นต้น
รวมถึงบริษัทยังมองหาโอกาสซื้อกิจการใหม่ (M&A) อย่างต่อเนื่องเพื่อให้องค์กรเข้มแข็งขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา และหากได้ดีลที่ดี บริษัทพร้อมจะเข้าลงทุนทันทีจากกระแสเงินสดที่มีเพียงพอ โดยปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุน ประมาณ 30,000 ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA)ปีนี้จะเติบโตดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 54,000 ล้านบาท หลังจากที่ในช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำ EBITDA แข็งแกร่งขึ้นกว่า 30,320 ล้านบาท และถือว่าเกินครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ราว 27,000 ล้านบาท โดยยังคงเป้ายอดขายทั้งปีเติบโต 3-5% จากปีก่อน
แม้แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจโลกและภูมิภาคในช่วงครึ่งปีหลังชะลอตัวลง ซึ่งเชื่อว่าการปรับแผนตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ ทำให้ต้องเดินตามแผนเดิมที่กำหนดไว้อย่างเต็มที่ก่อน แต่ยอมรับว่าการทำได้ตามเป้าค่อนข้างยากและมีโอกาสทำไม่ได้
ความคืบหน้าโรงงานลองเซิน ปิโตเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) คาดว่าจะเปิดดำเนินเชิงพาณิชย์ (COD) อีกครั้งในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้ หลังประเมินว่าการเดินเครื่องของโรงงานในปัจจุบันยังดีกว่าปล่อยทิ้งไว้ แต่หากพิจารณาแล้วว่าเดินเครื่องแล้วทำให้ผลการดำเนินงานเจ็บหนักก็อาจมีการหยุดดำเนินการทันที
ขณะที่แผนนำ "บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC" เข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)นั้นคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปี 2571 เนื่องจากต้องรอให้โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของโครงการ LSP แล้วเสร็จตามแผนในปี 2570 ก่อน
.
เอสซีจี มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่
1. ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง
อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย
รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี
2. “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
• การใช้หุ่นยนต์และ AI เช่น เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ
นอกจากนี้ ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์
• การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน
3. ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโตสูง
• เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์¬ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจี เดคคอร์
• สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) และโซลูชัน เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ
รวมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ “DRS” (Digital Reliability Service Solutions)บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรรายแรกของโลก โดย เอสซีจีซี “ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ช่วยลดอุบัติเหตุและลดเสียงดังเมื่อรถวิ่งผ่าน และ“ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” สำหรับปั้นก้อนแต่งมุมให้เรียบตรงและได้ฉาก รายแรกในไทย
โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “ONNEX ArcBox” นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษ และ “ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์” ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่น โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง “ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกจากอาคาร ทำให้ในอาคารเย็นขึ้นและลดการใช้พลังงาน
เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล “สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr” “วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock” ติดตั้งไว กันน้ำ กันปลวก และ “กระเบื้อง X STRONG” กันรอยขีดข่วนและรับน้ำหนักเป็นพิเศษ พร้อมปล่อยประจุบวกเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ โดย เอสซีจี เดคคอร์
• สินค้ากรีน (Green Products) เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง”
"แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจี เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน"