ภาษีทรัมป์ 36% เหลือ 19% ไทยเอาอะไรไปแลกบ้าง? ในเชิง ‘การทูตเศรษฐกิจ’
ประกาศออกมาอย่างเป็นทางเรียบร้อยกับภาษีทรัมป์ที่ 19% ไทยได้ลดลงจากเดิมที่สหรัฐอเมริกาขีดมาให้ 36% อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้เรทใหม่นี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 2568
อัตราภาษี 19% ที่ลดลงมาถือว่าเป็นข่าวดีไม่น้อย และนับว่าการเจรจาปิดดีลนี้สำเร็จลงด้วยดี แต่การถูกเก็บที่ 19% ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์แต่ละคนจะมองอย่างไร TODAY Bizview รวบรวมมาให้ ซึ่งมุมมองนักวิเคราะห์ส่วนมากยังมีความเป็นห่วงหลายประเด็น
ไม่ว่าจะเป็น ข้อสงสัยว่า ไทยเอาอะไรไปแลกมาบ้าง ซึ่งยังไม่มีการแจ้งรายละเอียดให้รับทราบ ไปจนถึงสหรัฐอเมริกายังมีก๊อกสองจะเล่นงานได้อีก นั่นคือการดูปริมาณการเลี่ยงไปส่งสินค้าผ่านประเทศที่สามเพื่อทำให้จ่ายภาษีลดลงว่ามีมากจนน่าสงสัยหรือไม่ รวมไปถึงอัตราภาษีที่ได้ลดในระดับใกล้กันกับประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้ทำให้ไทยได้เปรียบอย่างชัดเจน
เราลองไปอ่านมุมมองนักวิเคราะห์หลายๆ คนกัน
‘ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล’ กรรมการรองผู้จัดการ ธนาคารกรุงเทพ และ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ( FETCO) มองว่า ภาษีที่ไทยได้ในระดับ 19% ถือว่าดีมากและค่อนข้างน่าพอใจ เพราะยังทำให้เราได้แต้มต่อในการที่ประเทศอื่นๆ จะเข้ามาลงทุนอยู่ เพราะถ้าไม่ลดแล้วได้ 36% การลงทุนคงหายไปหมด
ซึ่งในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศที่ใหญ่ๆ ก็จะมีสหรัฐฯ จีน อินเดีย และเอเชีย ซึ่งถ้าในเอเชียประเทศที่น่าสนใจยังไงก็ยังมีประเทศไทยแน่นอน
และถ้ามองในมุมภาคเอกชนภาษี 19% ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และในภาพรวมของอัตราภาษีเราจะเห็นว่ามันเป็นเหมือนขั้นบันไดใครโดนเก็บน้อยกว่าก็จะได้เปรียบกว่าเหมือนกับน้ำที่ไหลลงมาจากที่สูงลงมาที่ต่ำ
[ ไทยเอาอะไรไปแลกภาษี 19% ]
แต่อีกเรื่องที่สำคัญก็คือ การได้มาซึ่งภาษีระดับนี้หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าไทยเราต้องเอาอะไรไปแลกบ้าง ส่วนตัวคิดว่าไทยเราก็ยังคงรักษาบางอย่างไว้ไม่ได้ยอมเสียไปทั้งหมด เราอาจจะเห็นว่าอย่างเวียดนามยอมเปิดตลาดทุกอย่างเลยเขาถึงได้ภาษีระดับนั้น
ซึ่งไทยคงไม่ได้ถึงขนาดนั้นแต่ต้องมาดูต่อในระยะยาวและระยะสั้นว่าจะเป็นยังไง การส่งออกไปสหรัฐฯ จะเป็นแบบไหน ผลกระทบต่อภาอคอุตสาหกรรมต่างๆ และภาคการลงทุนด้วย
ทั้งนี้ ในอนาคตโลกจะแย่ลงเรื่อยๆ เศรษฐกิจโลกจะผันผวนมากกว่านี้ จากการกระทำของทรัมป์ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ไทยเราเองควรที่จะพยายามรักษาความเชื่อมั่นไว้ให้ดี
[ ถึงจะรอดภาษีทรัมป์มาได้ แต่อเมริกายังมีก๊อกสอง จับตา transshipment rate อยู่ ]
ด้าน‘ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย’ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร โพสต์ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ภาษีทรัมป์ (Trump tariff) ไทยโดนแค่ 19% ดีกว่า 36% แต่ก็ขึ้นมาจากประมาณ 0% และ 10% ก่อนหน้านี้ ไม่รู้ข่าวดีไหม แต่ดีกว่า 36% แน่นอน
และยังคงแสดงความกังวลต่อเรื่องของ transshipment rate ที่ 40% สำหรับทุกประเทศ ที่ยังคงต้องรอฟังเงื่อนไขและการตรวจสอบอีกที
สำหรับ Transshipment rate นั้นก็คือ อัตราหรือปริมาณการส่งสินค้าผ่านประเทศที่ 3 ก่อนจะไปถึงประเทศปลายทางจริง เช่น ผู้ผลิตจีน ใช้วิธีหลีกเลี่ยงด้วยการส่งสินค้าไปเวียดนาม/มาเลเซียก่อนแล้วแปะฉลากว่า “Made in Vietnam” เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าจากจีนอะไรแบบนี้
ประเด็นนี้รัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานศุลกากรเริ่ม จับตา Transshipment rate ของบางประเทศ หากสูงผิดปกติ อาจถูกสงสัยว่าใช้วิธีวนสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีได้
[ ไทยยังต้องระวังถึงจ่ายภาษีน้อยลง แต่ระวังเจอข้อกฎหมายทำให้ต้องจ่ายค่าปรับแทน ]
ส่วน ‘ชยนนท์ รักกาญจนันท์’ CEO & Co-Founder บลน.ฟินโนมีนา บอกว่าที่ผ่านมาไทยมีความพยายามในการเจรจาเสนอ “เปิดตลาดให้นำสินค้าจากสหรัฐฯ เข้ามามากขึ้น” โดยจะยอมยกเลิกภาษีศุลกากรสูงสุดถึง 90% ของรายการสินค้านำเข้าทั้งหมด
และให้คำสัญญาว่าจะลดการขาดดุลการค้ามูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาทในระยะเวลา 3 ปี จะทำให้ดุลการระหว่างไทยกับสหรัฐฯ สมดุลมากขึ้น รวมถึงจะมีการควบคุมการส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีโดยที่อาจใช้ไทยเป็นทางผ่านโดยอาจว่าเป็นแหล่งการผลิต
ซึ่งพอตัวเลขออกมาที่ 19% ก็ถือว่าเป็นข่าวดีมาก แต่หลังจากนี้ต้องมาดูต่อว่าจะต้องจ่ายภาษียังไง สิ่งที่น่ากลัวยิ่งไปกว่าการจ่ายแพงคือจ่ายภาษีไม่ถูก และอาจกลายเป็นว่าต้องไปเสียค่าปรับแทน อันนี้ก็จะเป็นความวุ่นวายในช่วงถัดไป ก็คือภาษีที่เห็นนั้นเก็บได้จริงไหม ระบบการเก็บของรัฐบาลสหรัฐฯ จะดีไหม และผู้จ่ายภาษีจะทำได้ถูกต้องไหมก็มารอดูกัน
นอกจากนี้ พอระดับภาษีไทย 19% ใกล้เคียงเวียดนามที่ 20% จะต้องเกิดการแข่งขันขึ้นแน่นอน ซึ่งถ้าอยากได้เปรียบเราต้องทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลงให้ได้เรามองว่าต้องทะลุ 33 บาทต่อดอลลาร์ขึ้นไปให้ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นการส่งออกน่าจะดีขึ้นและจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยให้ปรับขึ้นด้วย
[ วิเคราะห์ข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ จากนี้มีอะไรบ้าง ]
ขณะที่ ‘บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX)’ ได้เผยแพร่บทวิเคราะห์ระบุว่า แม้ว่าไทยจะได้อัตราภาษีที่ “ดีกว่าที่คาด” แต่หากพิจารณาเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม (20%) กัมพูชา (19%) หรือสิงคโปร์ (10%) จะเห็นได้ว่าไทยไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบอย่างชัดเจน
อัตราภาษีที่ใกล้เคียงกันนี้สะท้อนภาวะการแข่งขันในระดับ ภาษีเป็นกลาง แต่ยังไม่สามารถชดเชยความเสียเปรียบด้านโครงสร้างต้นทุน (Cost Structure Disadvantage) ได้ โดยเฉพาะเมื่อเวียดนามและกัมพูชามีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า และขีดความสามารถในการผลิตแบบ Mass Production ที่รองรับคำสั่งซื้อจากบริษัทข้ามชาติได้ยืดหยุ่นกว่าไทยในบางอุตสาหกรรม
.
อัตราภาษี 19% นี้ไม่ได้มาฟรี และแม้จะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดอย่างเป็นทางการ แต่ในเชิงการทูตเศรษฐกิจ การได้รับ Concessional Tariff หรือการลดภาษีจากคู่ค้ารายใหญ่เช่นสหรัฐ มักต้องแลกมากับเงื่อนไขทางโครงสร้าง
.
เช่น การลดการอุดหนุนภายในประเทศ , การเปิดภาคบริการให้ต่างชาติเข้าแข่งขัน หรือการยอมรับกติกาด้านสิ่งแวดล้อมและแรงงานที่เข้มงวดยิ่งขึ้น ความตกลงเหล่านี้มักอยู่ในรูปของ MoU หรือข้อตกลงทวิภาคีที่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่มีผลผูกพันต่อแนวนโยบายในระยะกลางถึงยาว
.
และจากระดับภาษีที่ไทยได้รับ สินค้าส่งออกบางกลุ่ม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และอาหารแปรรูป ยังคงมีศักยภาพในการขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ยังมีภาษีนำเข้าสูง เช่น ลาวและเมียนมา
อย่างไรก็ตาม การเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีเงื่อนไขมากกว่าด้านภาษี เช่น มาตรฐานการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability), การรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin), และการปฏิบัติตามระเบียบของหน่วยงานอย่าง USTR และ FDA ซึ่งล้วนเป็น Non-Tariff Barriers ที่อาจกลายเป็นต้นทุนแฝงต่อผู้ส่งออกไทยหากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน
การได้รับอัตราภาษีที่ลดลงจากสหรัฐฯ อาจเป็นเพียง Buffer ทางยุทธศาสตร์ในระยะสั้น ไม่ใช่ผลสำเร็จของความสามารถในการแข่งขันโดยแท้จริง เพราะหากไทยไม่สามารถยกระดับโครงสร้างการผลิต ลดต้นทุน และพัฒนา Supply Chain ที่สอดรับกับมาตรฐานสากลได้ ความได้เปรียบนี้จะค่อยๆ เสื่อมถอยลงภายใต้แรงกดดันของตลาดโลก
ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขหรือข้อแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เปิดเผยในเชิงการทูตเศรษฐกิจ อาจกลายเป็นข้อจำกัดในเชิงนโยบายของไทยเองในระยะต่อไป ความสามารถของประเทศจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขภาษีในปัจจุบัน แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวเชิงโครงสร้างให้ทันกับบริบทการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว