ลุ้น 2 ทุ่มวันนี้! ไฟนอลอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐ คาดได้อัตราใกล้เคียงประเทศกลุ่มอาเซียน
เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 31 ก.ค. 68 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ภายหลังจากที่ สส.รัฐบาลและฝ่ายค้านได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา จำนวน 7 ญัตติ เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาการออกมาตรการและดำเนินนโยบายรับมือผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากข้อตกลงการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา เสร็จสิ้นลง
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ชี้แจงถึงข้อตกลงในการเจรจาอัตราภาษีตอบโต้ระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกา ที่จะมีข้อสรุปและการประกาศในวันที่ 1 ส.ค.นี้ เพื่อเสนอความเห็นไปยังรัฐบาล ว่า สำหรับตัวเลขภาษี เชื่อว่าจะใกล้เคียงกับประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม ได้ ร้อยละ 20 อินโดนีเซีย ได้ ร้อยละ 19 ซึ่งตนมองว่าต้องเกาะกลุ่มให้ได้ หากออกมาเจ็บมาก หรือเจ็บน้อย คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หากเข้าใจจะแก้ปัญหาให้ถูกต้อง ส่วนข้อกังวลต่อผลกระทบที่อาจทำให้อุตสาหกรรมในไทยมีความเสี่ยง ทั้งเรื่องต้นทุนที่แพงขึ้น เกษตรกรที่ไม่เข้มแข็ง ตนมองว่าแม้ไม่มีประเด็นภาษีทรัมป์ ประเทศไทยมีปัญหาหลายด้าน ทั้ง ขีดความสามารถการส่งออก การแข่งขัน การเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยี และต้นทุนที่สูง รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้านประสิทธิภาพของระบบราชการ กฎที่เป็นอุปสรรค กระบวนการอนุมัติที่ล่าช้า
นายพิชัย อภิปรายต่อว่า ประเด็นของภาษีเชื่อจากข่าว ตามที่รมว.พาณิชย์สหรัฐ ระบุว่า มีข้อยุติแสดงว่า ได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว คาดว่าการประกาศนี้ จะทำได้ทันก่อนวันที่ 1 ส.ค. นี้ ซึ่งในการเจรจาประเด็นการนำเข้าสินค้าสหรัฐมีบางอย่างที่ภาษีเป็นศูนย์ ซึ่งไม่ต้องแปลกใจเพราะที่ผ่านมาไทยมีการลงนามเอฟทีเอ (FTA) กับหลายประเทศ ซึ่งการเจรจากับสหรัฐรอบนี้เหมือนกับประเทศที่ได้เอฟทีเอกับเรา แต่บางสินค้าที่ไม่มีความสามารถแข่งขัน ได้ขอเวลา 5 ปีก่อนภาษีเป็นศูนย์
“จะส่งอะไรมาขาย หรือจะซื้ออะไร ได้พิจารณารายละเอียดในราคา และคุณภาพสินค้าที่ไม่สูงกว่าที่อื่น ทบทวนแล้วพบว่ามีสินค้าที่ราคาถูกกว่าเมื่อซื้อจากสหรัฐ เช่น ราคาพลังงาน น้ำมันที่นำเข้า ร้อยละ 90 แอลเอ็นจี ร้อยละ 50 รวมไปถึงสินค้าที่เราผลิตได้แต่ไม่พอ เช่น พืชผลเกษตร คือ ข้าวโพด ที่ไทยผลิตได้ 5 ล้านตัน แต่มีความต้องการ 10 ล้านตัน ดังนั้นต้องนำเข้าเพิ่มเติม ซึ่งจากการพิจารณาการซื้อเข้ามีช่องว่างที่สามารถซื้อจากสหรัฐได้” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ทีมไทยแลนด์ ประกอบด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข และภาคเอกชน ได้หารือเพื่อรับทราบถึงสถานการณ์การนำเข้า ซึ่งมีข้อตกลงว่าจะซื้อสินค้าในประเทศก่อน จากนั้นจะแบ่งซื้อจากต่างประเทศ ซึ่งเมื่อข้าวโพดจากสหรัฐที่ราคาถูกจะส่งผลให้ต้นทุนอาหารสัตว์ที่ผลิตโดยข้าวโพดมีราคาถูกลง เกษตรกรได้ราคาอาหารสัตว์ถูกลง ดังนั้นการสร้างกติกาใดๆ ต้องวิน-วินโซลูชั่น
นายพิชัย กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องพลังงานที่พบว่ามีค่าขนส่ง ดังนั้นได้หารือว่ามีแหล่งพลังงานใดหรือไม่ที่จะต้องสำรวจเพิ่มเติม ซึ่งเขายินดีที่จะมาสำรวจ เพราะเขามีเทคโนโลยีสำรวจทะเลลึก ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งอันดามัน ดังนั้นได้แสดงเจตนารมณ์แล้ว และถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ใหญ่ขึ้น
“ผมยืนยันว่าวันนี้แม้ไม่มีปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์ เราคงยังมีปัญหาคืออุปสรรค ปัญหา เช่น กฎ ระเบียบ ขั้นตอนการอนุญาต นำเข้าส่งออก มาตรฐานสินค้า วันนี้ได้ตกลงในหลักการว่าจะแก้ไข เพื่อให้ประเทศไหนก็ตามที่มาค้าขาย ส่งออก ได้รับความสะดวก ถูกต้องตามมาตรฐานสากล ส่วนเรื่องที่ร้องขอให้เข้าสภานั้น ตอนนี้ยังเป็นข้อตกลงเบื้องต้นตามเงื่อนไข ซึ่งจะนำไปสู่การเจรจาในรายละเอียดอีกครั้ง ที่ต้องพิจารณานำเข้าสภา เพราะเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับคณะที่เดินทางไปเจรจา รวม 3 วันนั้นมีค่าใช้จ่ายรวมเพียงล้านกว่าบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นการเดินทางเมื่อเที่ยวบินไหนพร้อม ไม่ต้องเฟิร์สคลาส เพื่อดูแลประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ช่วงที่สหรัฐประกาศตั้งแต่ ก.พ.จนถึง ส.ค. นั้น พบว่าไม่มีใครกล้าขายของ เพราะกังวลเรื่องอัตราภาษี ดังนั้นรัฐบาลจึงมีมาตรการดูแล ส่วนหนึ่งคืองบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อทดแทนเศรษฐกิจที่สะดุดในความไม่ชัดเจนเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ก่อสร้าง ตอนนี้เหลืองบ 4.2 หมื่นล้านบาท เตรียมนำมาดำเนินการในด้านการตรวจสอบสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทยจริงไม่ใช่ใช้เป็นเพียงทางผ่าน รวมถึงการจ้างงาน
“อย่างไรก็ตามจากการเจรจานั้น ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา 20.00 น. จะมีการพูดคุยสั้นๆ 5 นาที ในรอบสุดท้าย เชื่อว่าจะได้รับข่าวดี” นายพิชัย กล่าว.