ภาษีอะลูมิเนียมสหรัฐฯ ดันต้นทุนพุ่ง จุดกระแสรีไซเคิล
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมสูงถึง 50% โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูโรงงานในประเทศ แต่กลับกลายเป็นว่ากระแสการเติบโตใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทำกำไรได้มากกว่า กำลังเริ่มต้นจากลานเศษเหล็กของประเทศ
นโยบายการค้าที่เน้นปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แม้มักจะขัดแย้งกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่กลับกลายเป็นว่าได้ช่วยเสริมเศรษฐกิจของการรีไซเคิลเศษโลหะนับล้านตันที่สหรัฐฯ ส่งออกไปทุกปี
ตามข้อมูลของสมาคมการค้า International Aluminium Institute พบว่า การรีไซเคิลโลหะนี้ใช้พลังงานเพียง 5% เมื่อเทียบกับการผลิตอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ในปริมาณเท่ากันผ่านกระบวนการหลอม ซึ่งทำให้เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ผลกระทบของภาษีต่อผู้บริโภคอะลูมิเนียม
ตามข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ประสบภาวะขาดแคลนอะลูมิเนียมในระดับสูง โดยต้องนำเข้าเฉลี่ยปีละ 5.5 ล้านตันเพื่อตอบสนองความต้องการ แต่ภาษีใหม่ของทรัมป์ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้น ดันราคาอะลูมิเนียมภายในประเทศ (Midwest premium) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดสำคัญของราคาภายในประเทศ พุ่งสูงขึ้นจากระดับปี 2024 อย่างมาก
จึงสร้างผลกำไรอย่างมหาศาลให้แก่ผู้ผลิตในประเทศบางราย แต่ก็ดันต้นทุนในห่วงโซ่อุปทานให้เพิ่มขึ้นด้วย โดยผู้ใช้อะลูมิเนียมปลายน้ำอย่าง PepsiCo และ Campbell Soup ต้องเผชิญกับราคาที่สูงขึ้นสำหรับสินค้า เช่น กระป๋องเครื่องดื่มและเหล็กเคลือบดีบุก
แรงกดดันด้านราคานี้กำลังผลักดันให้ผู้ผลิตปลายน้ำต้องมองหาทางเลือกอื่น ซึ่งอาจนำไปสู่ “การทำลายความต้องการ” (demand destruction) โดยมองว่าแรงกดดันนี้อาจช่วยเสริมให้กับอะลูมิเนียมรีไซเคิลที่มีต้นทุนต่ำกว่า
ในขณะที่สหรัฐฯ กำหนดภาษี 50% สำหรับอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ เศษโลหะ (scrap metal) กลับไม่อยู่ภายใต้ภาษีเดียวกัน ความเหลื่อมล้ำนี้สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญให้กับโรงงานรีไซเคิลในประเทศ ทำให้สามารถขายโลหะที่ผลิตใหม่ได้ในราคาสูงเช่นเดียวกับอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ที่ได้รับการคุ้มครองด้วยภาษี
สถานการณ์นี้รุนแรงจนสามารถเปลี่ยนทิศทางของการค้าระหว่างประเทศได้ โดยสหรัฐฯ ซึ่งเคยส่งออกเศษโลหะประมาณ 2 ล้านตันต่อปีในช่วงที่ผ่านมา เริ่มส่งออกน้อยลงอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งการขาดแคลนวัตถุดิบ และการเปลี่ยนเส้นทางเศษโลหะเข้าสู่การผลิตรีไซเคิลภายในประเทศ
CNBC รายงานว่า การรีไซเคิลเศษโลหะทั้งหมดภายในสหรัฐฯ จะมีมูลค่าเทียบเท่ากับการสร้างโรงหลอมอะลูมิเนียมใหม่ถึง 4 แห่ง และสามารถตอบสนองความต้องการนำเข้าได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่สหรัฐฯ ต้องพึ่งพาอยู่ในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย เช่น การห้ามส่งออกหรือเก็บภาษีเศษโลหะ จะช่วยให้วัตถุดิบนี้คงอยู่ในประเทศ และเร่งให้เกิดกระแสการรีไซเคิลมากยิ่งขึ้น
เหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจน
การสร้างโรงงานรีไซเคิลแห่งใหม่ใช้เงินลงทุนเพียงประมาณ 10% ของการสร้างโรงหลอมอะลูมิเนียมแบบดั้งเดิม และใช้เวลาสร้างเพียง 1-2 ปี เทียบกับระยะเวลา 5-6 ปีของโรงหลอมแบบดั้งเดิม
ความต้องการพลังงานที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตอะลูมิเนียมบริสุทธิ์ยังเป็นจุดแข็ง โดยเฉพาะเมื่อภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ กำลังแข่งขันกันด้านพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตามการวิเคราะห์ของธนาคารแบงก์ออฟอเมริกา พบว่า ผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น BMW และ Hyundai ก็แสดงความสนใจอย่างมากในการจัดหาอะลูมิเนียมคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นตลาดที่อุตสาหกรรมรีไซเคิลของสหรัฐฯ สามารถตอบสนองได้ดี หากมีการขยายตัว