ไม่มีประสบการณ์รัก แต่อยากมีแฟน? หลากเรื่องรัก หลายเรื่องความรู้สึก ใน ‘Better Late Than Single’
จะเป็นยังไงถ้าให้คนไม่มีเคยมีแฟนมาก่อน มาแข่งกันจีบในรายการหาคู่?
ถ้าเป็นรายการเดตที่ผ่านมา เราอาจจะได้เห็นหนุ่มสาวตัวท็อปงัดสกิลการอ่อย สลับการจีบแบบมือโปร มาโชว์กันแบบไม่มีใครยอมใคร แต่สำหรับ Better Late Than Single รายการเดตจากเกาหลีใต้บนเน็ตฟลิกซ์ กลับเลือกเล่าเรื่องรักอีกด้าน ผ่านสายตาของคนที่ไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลยในชีวิต
แทนที่เราจะได้เห็นเทคนิคจีบแพรวพราว แต่รายการนี้กลับชวนเราไปเฝ้ามองเส้นทางความรักของคนโสดทั้ง 12 คน ที่กำลังจะมีรักครั้งแรก ใต้ท้องฟ้าสีครามสดใสในเกาะเชจู ที่พวกเขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอด 9 วัน
ความไม่ประสีประสาในรักของพวกเขานี่เอง ทำให้การจีบแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความเขินอาย ความเก้ๆ กังๆ และความเปราะบาง ความรู้สึกเหล่านี้สมจริง จนทำให้ผู้ชมอดนึกถึงรักแรกของตัวเองไม่ได้ แม้อาจไม่ราบรื่น แต่ก็กลายเป็นความน่ารักที่ชวนให้เราอยากเอาใจช่วยไม่น้อย
นอกจากเส้นเรื่องความรักแล้ว เรายังได้เห็นการเติบโตของผู้ร่วมรายการในแต่ละตอนด้วย โดยจะมีทีมแมตช์เมกเกอร์ 4 คน คอยช่วยปรับลุคและมายเซ็ต พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยฝึกฝนตลอด 6 สัปดาห์ เพื่อให้พวกเขาก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบาดแผลในอดีต หรือความไม่มั่นใจ จนกล้าเปิดใจทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ มากขึ้น
Better Late Than Single จึงเป็นรายการเดตที่ชวนทุกคนไปมองความรักในมุมที่ไม่เพอร์เฟ็กต์อย่างที่เคยเข้าใจกัน แล้วเราจะได้เรียนรู้อะไรจากความรักของคนที่เพิ่งเริ่มต้นบ้าง?
มีการเปิดเผยเนื้อหาของรายการ Better Late Than Single
รักแรกพบ หรือคนที่สบายใจ
เปิดรายการมา เราก็จะได้ทำความรู้จักกับผู้เข้าร่วมแต่ละคนมากขึ้น ทั้งเหตุผลที่ทำให้พวกเขาโสด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสื่อสาร ไม่ได้โฟกัสเรื่องความรัก นิสัยเฉพาะตัว หรือบุคลิกภายนอก รวมถึงเรายังได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าแข่งขัน จากการปรับบุคลิก สไตล์การแต่งตัว เพื่อให้พวกเขาเปล่งประกาย และกลายเป็นหนุ่มสาวที่น่าดึงดูดมากขึ้น
หลังจากที่ผู้ร่วมรายการทุกคนได้เจอกัน รายการได้มอบโจทย์ให้พวกเขาเลือกคนที่รู้สึกประทับใจมากที่สุด ซึ่งแต่ละคนก็เลือกด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป โดยการตัดสินใจเลือกครั้งนี้ มีผลต่อการเลือกคู่เดตของพวกเขาไม่น้อย จนถึงขนาด ฮาจองมก หนึ่งในผู้เข้าร่วมพูดขึ้นมาว่า “การเปลี่ยนความรู้สึกจาก 1 ไป 5 ง่ายกว่าการเปลี่ยนจาก 0 ไปเป็น 1” ซึ่งอาจหมายความว่า เขาให้ความสำคัญกับคนที่เขารู้สึกประทับใจตั้งแต่แรก มากกว่าคนที่เขาไม่รู้สึกอะไรด้วยเลยในครั้งแรก
อันที่จริง ความประทับใจแรกอาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า เรากับเขาจะคือคู่ที่ใช่เสมอไป อเล็กซานเดอร์ โทโดรอฟ (Alexander Todorov) ศาสตราจารย์และนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน อธิบายว่า ความประทับใจแรกมักเป็นการตัดสินใจอย่างรวดเร็วด้วยข้อมูลที่มีอยู่จำกัด บางครั้งเลยอาจทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะเราอาจจะตัดสินใจจากประสบการณ์ที่ผ่านมาในอดีต ทั้งที่จริงแล้ว อีกฝ่ายอาจมีนิสัยที่เข้ากับเราก็ได้ เพียงแต่ต้องทำความรู้จักให้มากขึ้นเท่านั้นเอง
ดังนั้น ในเวลาต่อมาผู้เข้าร่วมรายการหลายคนจึงเริ่มสับสน ว่าควรเริ่มต้นความสัมพันธ์จากความสบายใจ หรือใจเต้นแรง เพราะพวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน จนเมื่อได้ทำความรู้จักกันสักพัก บางคนก็พบว่า คนที่ชวนให้ใจเต้นตึกตักตั้งแต่ครั้งแรก อาจไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับพวกเขาเสมอไป แต่ความสบายใจจากการได้ใช้เวลาด้วยกัน พูดคุยกันได้อย่างไหลลื่น ได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ คือเรื่องสำคัญกว่า
ความรักรีบไม่ได้
แน่นอนว่า คงไม่มีใครอยากเจอกับความผิดหวัง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อเผยความรู้สึกดีๆ ไปแล้ว เราจะอยากให้อีกฝ่ายตอบรับความรู้สึกนั้นกลับมา จนลืมนึกถึงอีกฝ่ายไปว่า เขาเองก็ต้องใช้เวลาเพื่อจัดการความรู้สึกนี้เช่นกัน อย่าง คังฮยอนกู ที่เผลอรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัว และเร่งรัดวางแผนอนาคตตามใจ โดยไม่ถามความสมัครใจของอีกฝ่าย หรือ คิมซึงรี ที่แสดงความเป็นเจ้าของด้วยการอยากเอาชนะ คิมซังโฮ ผู้ที่ชอบผู้หญิงคนเดียวกับเขา จนไม่สนใจความรู้สึกของคนที่เขามาออกเดตด้วยอย่าง คังจีซู
การรีบร้อนเกินไปในความสัมพันธ์อาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ทั้งยังเสี่ยงที่จะทำลายความสัมพันธ์ด้วย มาเรีย บารัตต้า (Maria Baratta) นักบำบัดด้านความสัมพันธ์ อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า การรีบร้อนเกินไปในความสัมพันธ์มักตามมาด้วยความคาดหวังที่สูง เช่น เราอาจคิดว่าคนนี้คือคนที่ใช่ และจะไม่มีใครมาแทนได้อีกแล้ว ซึ่งความคาดหวังนี้เป็นเหมือนการกดดันและทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ท้ายที่สุดอาจทำให้อีกฝ่ายอาจลังเล หรือถอยห่างออกไป
นอกเหนือจากความเสี่ยงเรื่องความสัมพันธ์แล้ว การรีบร้อนเกินไปยังทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักอีกฝ่ายจากตัวตนข้างในจริงๆ ด้วย เพราะในใจเราจะเต็มไปด้วยความคาดหวัง ว่าคนนี้ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายอาจไม่ใช่แบบที่เราคิดก็ได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญของการเดตจึงไม่ใช่แค่การตกลงปลงใจคบกันทันที แต่เป็นการหาคำตอบว่าเรากับเขาเข้ากันได้มากแค่ไหนมากกว่า
ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง
เมื่อเป็นการเดตที่ซับซ้อน ซึ่งทั้ง 12 คนสามารถเลือกคนที่สนใจได้อย่างอิสระ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมีทั้งคนที่สมหวังและผิดหวัง
การตัดสินใจเลือกใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย และยิ่งยากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีประสบการณ์ด้านความรักมาก่อน เพราะพวกเขาอาจรู้สึกลังเล และไม่อยากทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง จนเผลอทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว
เราจะเห็นได้จาก โนแจยุน หนึ่งในผู้เข้าร่วม แม้เขาจะเป็นคนจิตใจดี ไม่ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อน แต่เพราะการสื่อสารไม่เก่ง ทำให้เขาเผลอทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ อย่างการพยายามตีตัวออกหากจากคนที่สนใจในตัวเขา อย่าง พักจียอน โดยเลี่ยงการพูดคุย เพราะเขาไม่รู้สึกอะไรด้วย ทั้งที่การพูดออกไปตรงๆ อาจทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกว่าการไม่ปฏิเสธออกไปให้ชัดเจน หรือตอนที่เขาโกหกกับ คิมยอมยอง ว่าเขาอาจจะไม่ได้ชอบเธอเต็มร้อย เพื่อให้เธอสบายใจ และไม่ต้องคิดมากในเรื่องที่เขาสารภาพรักกับเธอ เพราะในใจลึกๆ เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีคนที่สนใจอยู่แล้ว แต่นั่นยิ่งทำให้คิมยอมยองรู้สึกแย่และสับสนขึ้นไปอีก
นอกจากประเด็นนี้แล้ว เราจะได้เห็นผู้เข้าร่วมรายการอีกหลายคนไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมาอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความลังเลของจองมกที่ไม่ยอมปฏิเสธ อีโด ให้ชัดๆ ว่าเขาเปลี่ยนใจไปชอบคนอื่นแล้ว จนทำให้อีกฝ่ายเสียใจและโทษตัวเอง ทั้งที่จริงการเปลี่ยนใจไม่ใช่เรื่องที่ผิดเลย แต่การไม่ยอมพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมาต่างหาก ที่ทำให้ร้ายความรู้สึกของอีกฝ่าย
ดังนั้น แม้ว่าการพูดความจริงอาจทำให้อีกฝ่ายต้องเจ็บปวด แต่การซื่อสัตย์กับตัวเอง และพูดคุยอย่างจริงใจ อาจช่วยให้อีกฝ่ายมูฟออนได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องค้างคาใจในความสัมพันธ์
ยอมรับความเจ็บปวด
รักครั้งแรกอาจไม่ได้หมายถึงความรู้สึกซาบซ่า สดใสซะทีเดียว แต่อีกมุมหนึ่งคือการเจือไปด้วยรสขมปร่า ที่มาจากความเสียใจและความผิดหวัง
ใน Better Late Than Single เรายังได้เห็นรูปแบบความผิดหวังที่ต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นความผิดหวังที่เกิดจากการรักข้างเดียว แม้ว่าเราจะทุ่มเทความรักให้อีกฝ่ายมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถการันตีได้ว่าเขาจะรับรักตอบ เพราะความรักเป็นเรื่องของความรู้สึก หากความรู้สึกของเราและอีกฝ่ายไม่ตรงกัน สุดท้ายก็คงมีแต่ต้องยอมรับและเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย
หรือจะเป็นความเสียใจที่รู้ว่า เรากับเขาเข้ากันไม่ได้ อย่างจองมกและอีโดที่ช่วงแรกดูเหมือนเข้ากันได้ดี แต่หลังจากทำความรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายอย่างลึกซึ้งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพื้นเพ ทัศนคติ และมุมมอง กลับทำให้จองมกเกิดเปลี่ยนใจหันไปชอบคนที่น่าจะเข้ากับเขาแทน อีโดจึงอยู่กับความเสียใจ และสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่ท้ายที่สุด เธอก็ได้เรียนรู้ที่จะรับมือกับสถานการณ์นี้ เพื่อให้ก้าวข้ามความรู้สึกนี้ของตัวเองไปให้ได้
เป็นเรื่องธรรมดาที่ได้ลองทำอะไรครั้งแรก และผลที่ออกมาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ มันอาจมีทั้งความน่าอึดอัดและการตัดสินใจที่ผิดพลาด แต่ประสบการณ์เหล่านี้จะทำให้เราเติบโตขึ้น จนกลายเป็นคนที่เราอยากจะเป็นได้
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Sutanya Phattanasitubon
Editorial Staff: Taksaporn Koohakan