เบื้องหลังของความยึดติดมีอะไร ทำไมบางคนถึงไม่เปิดใจรับความเปลี่ยนแปลง?
จะเปลี่ยนแปลงไปทำไม ในเมื่อของเดิมมันก็ดีอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นสื่อเอนเตอร์เทนเมนต์อย่างหนัง ซีรีส์ หรือรายการโทรทัศน์ที่มีการรีเมคและสร้างภาคต่อ ไปจนถึงพฤติกรรมและสถานการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวันที่มีทางเลือกใหม่ๆ เข้ามา เช่น เจอทางกลับบ้านที่เร็วกว่า มีร้านข้าวเปิดใหม่ให้ไปลอง หรือแม้แต่แอปพลิเคชั่นที่อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ ทว่าเรากลับรู้สึกอยากเลือกอะไรแบบเดิมๆ เพราะคิดว่าแบบเดิมมันก็โอเคอยู่แล้ว ไม่เห็นความจำเป็นอะไรเลยที่จะต้องปรับเปลี่ยน
มันก็ดีแหละที่มีอะไรใหม่ๆ มาเป็นทางเลือกในชีวิต จะได้ไม่รู้สึกจำเจจนเกินไป แต่หลายครั้งก็ดันแอบตั้งคำถาม ว่าสิ่งใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาเหล่านี้ มันจะดีเท่าอันเดิมหรือเปล่า มันจะคุ้มสำหรับการเสี่ยงลองดูไหม
ความรู้สึกยึดติดกับของเดิม จนไม่ค่อยเปิดใจยอมรับของใหม่เกิดจากอะไรกัน แล้วถ้าวันหนึ่งเราอยากจะก้าวข้ามความรู้สึกเช่นนี้ มันพอจะมีวิธีอะไรช่วยได้บ้างไหมนะ
อคติต่ออะไรเดิมๆ จนไม่ยอมรับความแปลกใหม่
เมื่อพูดถึงคำว่า ‘อคติ’ หลายคนก็อาจนึกไปถึงความหมายเชิงลบต่างๆ นานา แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียงกลไกทางความคิดหนึ่งของสมอง ซึ่งช่วยให้เราตัดสินใจอะไรได้เร็วขึ้น
เหมือนกับเวลาที่เราต้องเผชิญกับสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต เราก็มักคิดว่าสิ่งเดิมเหมาะสมกว่าแล้ว ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไรให้วุ่นวาย อคติในส่วนนี้เรียกว่า ‘Status Quo Bias’ หรือก็คืออคติที่ทำให้เรายึดติดหรือพึงพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลง ต้องการให้ทุกอย่างคงสภาพตามเดิมเอาไว้
สำหรับคนที่ชอบลองอะไรใหม่ๆ ก็อาจคิดว่า ก็แค่การเปลี่ยนแปลง มันคงไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่สำหรับหลายคน การเปลี่ยนแปลงแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก การเลือกอยู่กับสิ่งเดิม จึงให้ความรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย รวมถึงอยู่ในการควบคุมได้มากกว่า แม้หลายต่อหลายครั้งจะรู้ว่าสิ่งใหม่ที่รออยู่ข้างหน้าอาจจะดีกว่าก็ตาม
ถึงการทำอะไรแบบเดิมจะเป็นเหมือนเซฟโซนสำหรับตัวเราเอง แต่ถ้าเรายึดติดกับมันมากเกินไป ก็อาจสร้างผลกระทบต่อตัวเราเองได้เช่นกัน โดย งานศึกษาเกี่ยวกับ Status Quo Bias ของ ซินรุ่ย หลัว (Xinrui Luo) ใน International Conference on Global Economy, Finance and Humanities Research (GEFHR 2023) ได้ระบุถึงผลกระทบของการมีอคติต่อสภาพปัจจุบันที่มากเกินไป เอาไว้ดังนี้
พลาดสิ่งที่(อาจจะ)ดีกว่าเดิม
จริงอยู่ว่า การยึดติดกับสิ่งเดิมอาจช่วยให้เรารู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และไม่ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกมั่นคงนี้ก็อาจกลายเป็นกับดักที่คอยฉุดรั้งเราไว้ไม่ให้กล้าก้าวออกจากกรอบเดิมๆ ส่งผลให้เราพลาดโอกาสใหม่ๆ ที่อาจเข้ามาในชีวิต และปิดกั้นความเป็นไปได้ที่จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เราชอบหรือดีต่อตัวเราในอนาคตก็ได้
ทำให้เรากลัวการตัดสินใจ
เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจ หากเราไม่เปิดใจยอมรับต่อความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เราอาจเกิดความลังเล ไม่กล้าก้าวข้ามความคุ้นเคยเดิม ๆ จนสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ตัดสินใจอะไรเลย หรือเลือกทางที่ ‘ปลอดภัย’ ที่สุด ซึ่งมันก็อาจไม่ใช่ทางที่ดีต่อตัวเราที่สุดก็ได้
ทำให้เราติดอยู่กับความเคยชินโดยไม่รู้ตัว
แม้จะรู้ว่าสิ่งใหม่นี้ดีต่อตัวเรา แต่ก็ไม่ยอมเปลี่ยน เพราะเราดันคุ้นชินกับสิ่งเดิมๆ ไปแล้ว โดยพฤติกรรมเหล่านี้ เรียกว่า cognitive lock-in หมายถึงการยึดติดกับอะไรบางอย่าง เนื่องจากตัวเราลงแรงหรือเวลาไปกับสิ่งเหล่านั้นแล้วนั่นเอง
มันก็คงโอเคแหละ ถ้าสิ่งที่เรายึดติดเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวเราแต่แรก ในทางกลับกัน หากมันไม่ได้ดีที่สุดต่อตัวเรา หรือกระทั่งไม่ได้ช่วยซัพพอร์ตชีวิตของเราขนาดนั้น ท้ายสุด มันก็อาจสร้างผลกระทบต่อตัวเราเองในอนาคตได้ด้วยเช่นกัน
อยากเปิดใจบ้าง ทำอย่างไรดี
มาถึงตรงนี้ หลายคนก็คงอยากลองเปิดใจรับอะไรใหม่ๆ กับเขาดูบ้าง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเปิดสวิตช์ปุบปับพร้อมรับความเปลี่ยนแปลงทันทีเสียเมื่อไหร่ หากเปลี่ยนได้ฉับไวขนาดนั้น ก็คงไม่มีอคติ Status Quo Bias เกิดขึ้นมาแน่นอน
แม้ฟังดูแล้ว การเปิดใจเพื่อทำอะไรสักอย่างจะดูเป็ยเรื่องยาก ทว่ามันก็อาจไม่ได้ยากเกินกว่าเราจะลองทำได้เคนดรา เชอร์รี่ (Kendra Cherry) ผู้เชี่ยวชาญด้านการฟื้นฟูจิตสังคม จึงได้แนะนำวิธีการเปิดใจรับสิ่งใหม่ให้เราลองทำตามดู ดังนี้
รู้ตัวเองว่าเรากำลังมีอคติอยู่
ก่อนจะเปิดใจหรือลงมือทำอะไรสักอย่าง เราอาจต้องรู้และตระหนักกับตัวเองให้ได้ก่อนว่า เรากำลังมีอคติอยู่ในใจ แล้วลองไตร่ตรองดูว่าอคติเหล่านี้ สร้างผลกระทบอย่างไรต่อเราบ้างหรือเปล่า ยิ่งเราค้นพบอคติในใจได้ไวมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งพร้อมจะก้าวข้ามอคตินี้ไปได้ไวมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น บางคนอาจรู้สึกไม่มีความสุขกับงานที่ทำอยู่ แต่ก็ไม่กล้าลาออก เพราะกลัวจะเสี่ยงไปเจองานอื่นที่แย่กว่าเดิม ความรู้สึกเหล่านี้ก็อาจมาจาก อคติต่อสิ่งเดิมๆ ซึ่งหากเราไม่สามารถยอมรับในส่วนนี้ เราก็จะก้าวต่อไปไม่ได้เช่นกัน
ตั้งข้อสงสัยกับสิ่งใหม่ เพื่อให้รู้ลึกมากขึ้น
แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง ก็ถือเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคนเสมอ เพราะฉะนั้น หลังจากยอมรับต่ออคติในความคิดเราได้ เพื่อให้เรากล้าตัดสินใจมากขึ้น ลองตั้งข้อสงสัยและถามตอบเกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังจะตัดสินใจดูก็ดีเหมือนกัน เราเองจะได้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียชัดเจนมากขึ้น
ตัวอย่างสถานการณ์ ก็อาจลองนึกถึงเวลากลับบ้าน แล้วเราดันเจอทางกลับบ้านใหม่ ซึ่งเหมือนจะสะดวกและใกล้กว่า แต่เราดันคุ้นชินกับทางเดิมอยู่แล้ว ก็อาจลองตั้งคำถามและหาคำตอบดูว่า ทางใหม่ที่ผุดขึ้นมา สะดวกกว่าอย่างไร หรือใกล้บ้านกว่ามากแค่ไหน คุ้มค่าต่อการเสี่ยงไปดูหรือไม่ ทั้งหมดนี้เพื่อให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าเราจะลองกลับบ้านทางใหม่นี้ดูดีไหม
ให้เวลากับมัน ไม่ต้องรีบร้อน
การเปิดใจทำอะไรใหม่ๆ ไม่ใช่การแข่งขัน และไม่ได้มีสูตรสำเร็จใช้ได้กับทุกคน บางคนก็อาจลองเปิดใจแล้วเครื่องติดไปต่อได้เลย หากแต่บางคนก็อาจต้องค่อยๆ ปรับตัวและเปิดรับทีละเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น ลองเริ่มปรับตัวเองไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสักวันหนึ่งเราก็พร้อมรับต่อทุกความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้เอง
เหมือนเวลาเราต้องเปลี่ยนร้านอาหารประจำ เปลี่ยนสายงานที่ทำ หรือแม้แต่เปลี่ยนไปดูซีรีส์ภาคใหม่ เราไม่จำเป็นต้องชอบมันตั้งแต่ครั้งแรก เพียงแต่ค่อยๆ ลองไปเรื่อยๆ ให้เวลากับมันสักนิด เพื่อให้เรารู้ตัวเองว่าเราชอบหรือไม่ชอบกันแน่
ท้ายสุดแล้ว มันก็อาจไม่ผิดหรอก หากเราจะยึดติดกับสิ่งเดิมๆ ถ้ามันเป็นเซฟโซนและช่วยชุบชูใจเราได้ แต่หากวันไหนเจอทางเลือกใหม่ๆ ก็อย่าลืมลองเปิดใจเรียนรู้ดู บางครั้งเราก็อาจจะเจอสิ่งที่ดีกว่า หรือในกรณีที่ลองแล้วมันดันไม่ดีจริงๆ ก็มองว่ามันเป็นประสบการณ์และพาร์ทหนึ่งของชีวิตเราก็ไม่เสียหายเช่นกัน
ไม่แน่ว่า ลองเปิดใจครั้งหน้า เราอาจเจอความชอบใหม่ๆ ในชีวิตก็ได้
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editorial Staff: Paranee Srikham