ทางหลวง ลงนาม 2 สัญญาจ้างมอเตอร์เวย์ M7 เชื่อมอู่ตะเภา
กรมทางหลวง ลงนาม 2 สัญญาจ้าง โครงการพัฒนาโครงข่ายมอเตอร์เวย์ M7 ส่วนต่อขยายเชื่อมสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา หนุน EEC ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค
วานนี้ (1 ส.ค. 2568) กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสำนักบริหารโครงการ ทางหลวงระหว่างประเทศ จัดพิธีลงนามสัญญาจ้างโครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 (มอเตอร์เวย์ M7) ส่วนต่อขยายเชื่อมต่อสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศให้ทันสมัยและเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ
นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า โครงการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการยกระดับสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 ของประเทศ ซึ่งจะช่วยรองรับปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารและสินค้า รวมถึงสนับสนุนการเป็นประตูการค้าการลงทุนและยุทธศาสตร์ทางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาค ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 7 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ
โครงการดังกล่าว สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ที่ได้อนุมัติให้กระทรวงคมนาคม โดย ทล. ดำเนินการก่อสร้างโครงการฯ เพื่อก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร และขยายช่องทางจราจรเพิ่มเติมในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งจะช่วยลดเวลาการเดินทางจาก M7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด สู่สนามบินอู่ตะเภา จาก 5 กิโลเมตร เหลือเพียง 1.92 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังรวมถึงปรับปรุงการเชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท) และจะช่วยให้ประชาชนเดินทางเข้า - ออกสนามบินอู่ตะเภาได้อย่างสะดวก รวดเร็ว รองรับ EEC ให้เป็นเมืองท่า ซึ่งเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย
สำหรับรูปแบบโครงการมอเตอร์เวย์ M7 ครอบคลุมการก่อสร้างทางยกระดับแนวใหม่ขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 1.92 กิโลเมตร พร้อมก่อสร้างทางบริการใต้ทางยกระดับ ช่องทางเลี้ยวและทางแยกต่างระดับบริเวณจุดตัดกับทางหลวงหมายเลข 3 โดยมีจุดเริ่มต้นจาก M7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด กม. ที่ 148+328 ไปจนถึงบริเวณทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 3 พร้อมทั้งทำการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 3 ระหว่าง กม. ที่ 186+350 - 192+000 โดยขยายจาก 4 ช่องจราจร เป็น 8 ช่องจราจร รวมระยะทาง 5.65 กิโลเมตร
กรมทางหลวงได้ลงนามสัญญาจ้างกับผู้รับจ้าง จำนวน 2 สัญญา ประกอบด้วย
1. สัญญาจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง กับกิจการค้าร่วม ประกอบด้วย Epsilon Co., Ltd., Index International Group Public Company Limited และ Decade Consultants Co., Ltd. วงเงินสัญญา 125,847,000 บาท
2. สัญญาจ้างก่อสร้าง กับ Sino-Thai Engineering & Construction Public Company Limited (STECON) วงเงินสัญญา 2,651,988,700 บาท
ทั้งนี้ ทั้งสองสัญญาเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณของราชอาณาจักรไทย และเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB)
นายอภิรัฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทล. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง อย่างโปร่งใส โดยมีการประกวดราคานานาชาติ และโครงการได้เข้าร่วมข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินงานเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล โครงการฯ มีระยะเวลาการก่อสร้างตามสัญญา 3 ปี โดยได้ดำเนินการเวนคืนที่ดินเสร็จสิ้น 100% แล้ว คาดว่าจะเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571
เมื่อโครงการฯ แล้วเสร็จ จะเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในระยะยาว สามารถลดระยะเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทางของผู้ประกอบการและประชาชน การขยายช่องจราจรจะช่วยให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดปัญหาการจราจรติดขัด
นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนา EEC ส่งเสริมให้เกิดการลงทุน การค้า และการท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นศูนย์กลางการบินและเมืองธุรกิจที่สำคัญของไทย รองรับการเดินทางแบบไร้ร้อยต่อระหว่างสนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูง และการเดินทาง ทางถนน ช่วยสนับสนุนให้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภากลายเป็นสนามบินเชิงพาณิชย์อย่างเต็มศักยภาพ
ขณะเดียวกัน ยังรองรับปริมาณผู้โดยสารและสินค้าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ส่งเสริมการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่ ส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรม การค้า และบริการ พร้อมทั้งการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงและความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอนาคต
ทล. มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงข่ายคมนาคมของประเทศให้มีความสมบูรณ์ รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม ตอบสนองความต้องการของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอย่างยั่งยืน
อ่านข่าวเพิ่มเติม
- คลัง ลงนามกู้เงิน ADB กว่า 2.4 พันล้าน พัฒนาโครงข่ายทางหลวง พื้นที่ EEC
- เตรียมพร้อม! ใช้มอเตอร์เวย์ M6 หินกอง-โคราช ยาว 164 กม. ไม่มีปั๊มน้ำมัน-สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
- ‘สุริยะ’ ชงครม.วันนี้ เปิดวิ่งฟรีมอเตอร์เวย์ M7-M9 รวม 7 วัน ช่วงสงกรานต์
ติดตามเราได้ที่