จีนปักธง 'อาหารเพื่อความยั่งยืน' ชี้เป้าลดความเสี่ยงอาหารจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อผลผลิตทางการเกษตรอย่างรุนแรง เช่น การที่ผลผลิตข้าวในจีนลดลงประมาณ 8% ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องมาจากฝนที่ตกหนักผิดปกติ และคาดว่าจะลดลงอีก 8% ในอนาคตหากอุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้น 2-3 องศา
ความเปลี่ยนแปลงบนโต๊ะอาหาร เมื่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมาถึง
สถานการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้งในแคลิฟอร์เนียที่ทำให้พื้นที่ปลูกข้าวลดลงถึงครึ่งหนึ่ง หรือภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญในแอฟริกาที่ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนโกโก้ที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือสินค้าขาดตลาดบ่อยครั้งและราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอาหารบางประเภทได้ยากขึ้น
จีนนำร่อง "กลยุทธ์อาหารที่ยั่งยืน"
จีนซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจเกษตรกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตระหนักถึงปัญหานี้และได้เริ่มดำเนินมาตรการเชิงรุก โดยเชื่อมโยงนโยบาย "เป้าหมายคาร์บอนคู่ขนาน" (Dual Carbon) เข้ากับยุทธศาสตร์ "อาหารที่ยิ่งใหญ่กว่า" (Greater Food) เพื่อให้ได้มาซึ่งโปรตีนและแคลอรี่จากทรัพยากรที่มีอยู่โดยไม่ทำให้ทรัพยากรเสื่อมโทรมลง
กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นไปที่การสร้าง ระบบอาหารที่ชาญฉลาดต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-smart food systems) ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่านั้น แต่ยังรับประกันว่าทุกคนจะมีอาหารเพียงพอต่อการบริโภค โดยมุ่งเน้น 3 แนวทางหลัก ได้แก่
1. ปรับเปลี่ยนการบริโภคเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
จีนมีแนวโน้มการบริโภคอาหารที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอยู่แล้ว เนื่องจากบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์เคี้ยวเอื้องค่อนข้างน้อย และล่าสุดได้ออกแนวทางด้านโภชนาการใหม่ที่สนับสนุนการกินพืชผักมากขึ้น นอกจากนี้ รัฐบาลยังลงทุนมหาศาลในการวิจัยและพัฒนา "นวัตกรรมอาหารสีเขียว" เช่น เนื้อที่เพาะเลี้ยงจากห้องปฏิบัติการและเนื้อจากพืช ซึ่งใช้ทรัพยากรที่ดินและน้ำน้อยกว่าการเลี้ยงวัวแบบดั้งเดิมถึง 95–99% การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชากร 1.4 พันล้านคนจึงมีประโยชน์มหาศาลต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ
2. ลดการสูญเสียและขยะอาหารตลอดห่วงโซ่อุปทาน
การลดการสูญเสียอาหารตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภคสามารถช่วยประหยัดอาหารได้จำนวนมหาศาล จากรายงานของจีนพบว่า ธัญพืชหลัก 3 ชนิด (ข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด) สูญเสียไปถึง 20.7% ของผลผลิตทั้งหมด หากสามารถลดอัตราการสูญเสียลงได้ 8% จะเท่ากับการกู้คืนอาหารได้ถึง 55 ล้านตันต่อปี และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 20-56 ล้านตัน
ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วยการลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยลดการสูญเสีย เช่น ระบบโลจิสติกส์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Cold-chain logistics) การเก็บรักษาที่ดีขึ้น และการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนหรือเซ็นเซอร์ IoT เพื่อติดตามอาหารจากฟาร์มสู่โต๊ะอาหาร
3. สร้างห่วงโซ่อุปทานอาหารโลกที่ยั่งยืน
จีนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการค้าสินค้าเกษตรที่ยั่งยืนกับประเทศในกลุ่ม Global South มากขึ้น เช่น การนำเข้าถั่วเหลืองที่ปลอดการบุกรุกป่าจากบราซิล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตระหนักรู้ของผู้บริโภคชาวจีนที่เพิ่มขึ้น และเป็นการสนับสนุนประเทศผู้ผลิตให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน
แม้จะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม เช่น ปัญหาการตรวจสอบย้อนกลับที่ทำได้ยากและต้นทุนที่สูง แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในตลาดโลก
โอกาสทางธุรกิจสำหรับนักลงทุน
การเปลี่ยนแปลงของจีนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับนานาชาติว่าการสร้างความยั่งยืนในระบบอาหารไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคต
สำหรับธุรกิจและนักลงทุนที่ต้องการคว้าโอกาสในยุคใหม่นี้ การปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มของจีนเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในนวัตกรรมอาหาร, การพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ, หรือการสนับสนุนแนวทางการค้าที่ยั่งยืน ทั้งหมดนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ ท่ามกลางโลกที่กำลังมุ่งหน้าสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น
ที่มา : Chinese Academy of Agricultural Sciences (CAAS) , World Economic Forum