สหรัฐฯ ยกให้ผลไม้ชนิดนี้ มีวิตามินซีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 21 เท่า ไม่ใช่ส้มหรือมะนาว
สหรัฐฯ ยกให้ผลไม้ชนิดนี้มีวิตามินซีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 21 เท่า ไม่ใช่ส้มหรือมะนาว แต่ตั้งแต่ใบจนถึงราก ล้วนเป็นยาชั้นยอดช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด
ผลไม้ชนิดนี้เป็นที่คุ้นเคยอย่างยิ่งสำหรับชาวไทย และมักได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญระดับนานาชาติในฐานะอาหารที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้อย่างโดดเด่น
ผลไม้ที่ได้ชื่อว่า “ราชินีแห่งวิตามินซี”
ฝรั่งเป็นผลไม้เมืองร้อนที่โดดเด่นทั้งกลิ่นหอมตามธรรมชาติและรสชาติหวานกรอบที่รับประทานง่าย จึงได้รับสมญานามว่า “ราชินีแห่งวิตามินซี” และยังถูกจัดให้เป็น “ซูเปอร์ฟู้ด” ด้วยคุณสมบัติในการบำรุงร่างกายที่ยอดเยี่ยม
ทั่วโลกมีการปลูกฝรั่งหลากหลายสายพันธุ์ แตกต่างกันทั้งสีของเนื้อและลักษณะของเมล็ด แต่ล้วนอุดมด้วยสารอาหาร และเหมาะสำหรับใส่ไว้ในเมนูประจำวัน
เอลล่า ดาวาร์ นักโภชนาการแบบองค์รวมจากนิวยอร์ก สหรัฐฯ ระบุว่า ฝรั่งไม่เพียงเป็นแหล่งวิตามินซีชั้นเยี่ยม แต่ยังอุดมด้วยใยอาหารที่ดีต่อระบบย่อยอาหารอีกด้วย
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตร สหรัฐฯ ระบุว่า ฝรั่ง 100 กรัมให้วิตามินซีสูงถึง 200–400 มิลลิกรัม มากกว่าผลไม้ทั่วไปหลายเท่า โดยเฉพาะมีปริมาณวิตามินซีมากกว่าแอปเปิ้ลถึง 21 เท่า ซึ่งเพียงฝรั่งผลเดียวก็สามารถตอบสนองความต้องการวิตามินซีของผู้ใหญ่ได้เกือบครบถ้วนในแต่ละวัน ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องเซลล์ในร่างกาย
นอกจากนี้ ฝรั่งยังอุดมด้วยน้ำ (77–86 กรัม), ใยอาหาร (2.8–5.5 กรัม), โปรตีน, ไขมันดี และแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม รวมถึงวิตามินบี วิตามินเอ และสารชีวภาพอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
เหตุผลที่ฝรั่งถูกยกให้เป็น “ซูเปอร์ฟรุต”
- อุดมไปด้วยใยอาหาร
ฝรั่งมีปริมาณใยอาหารสูงมาก โดยให้ใยอาหารเกือบ 6 กรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งมากกว่าผลไม้ทั่วไปอย่างกล้วย ส้ม กีวี หรือพีช โดยเฉพาะฝรั่งพันธุ์เนื้อชมพูที่มีเพคตินสูง ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยดูดซึมน้ำ เพิ่มปริมาณอุจจาระ กระตุ้นการขับถ่าย ช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือด และลดระดับไขมันในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากฝรั่งมีใยอาหารสูง จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอขณะรับประทาน เพื่อป้องกันอาการท้องผูก
- แหล่งโพแทสเซียม ช่วยควบคุมความดันโลหิต
ฝรั่งยังเป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดี โดยให้โพแทสเซียมประมาณ 235 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งใกล้เคียงกับกล้วย การรับประทานฝรั่งเป็นประจำจึงช่วยควบคุมความดันโลหิต และส่งเสริมสุขภาพหัวใจได้เป็นอย่างดี
- สารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติ
ฝรั่งอุดมไปด้วยฟลาโวนอยด์ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ เช่น เควอซิติน แคมป์เฟอรอล ไอโซเควอซิทริน และกลุ่มไกลโคไซด์ ซึ่งช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ บรรเทาอาการอักเสบ ควบคุมระดับคอเลสเตอรอล และอาจมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งบางชนิด
นอกจากนี้ ฝรั่งยังเป็นผลไม้แคลอรีต่ำ โดยให้พลังงานเพียง 53 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม และมีไขมันน้อยมาก (เพียง 0.4 กรัม) จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรือกำลังอยู่ในช่วงลดอาหาร
- ไม่ใช่แค่ผล ฝรั่งทั้งใบและรากก็เปี่ยมคุณค่า
นอกจากผลไม้ที่เราคุ้นเคย ใบและรากของต้นฝรั่งยังถือเป็น “ขุมทรัพย์” ทางโภชนาการและสมุนไพรที่ทรงคุณค่า ใบฝรั่งมีสารสำคัญหลากหลาย เช่น เบต้า-ซิโตสเตอรอล เควอซิติน กวายจาเวอริน ลิวโคไซยานิดิน อาวิคูลารีน รวมถึงน้ำมันหอมระเหยที่อุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางยา
ในขณะที่รากฝรั่งมีสารแทนนิน กรดอาร์จูโนลิก และกรดอินทรีย์อื่น ๆ ซึ่งมักใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาพื้นบ้านเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ
ใบฝรั่งเป็นที่นิยมในการแพทย์แผนโบราณ ด้วยรสขมและฤทธิ์อุ่น มีสรรพคุณช่วยขับพิษ ลดการอักเสบ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีงานวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นที่เผยแพร่ในวารสาร Nutrition and Metabolism ระบุว่า สารสกัดจากใบฝรั่งสามารถช่วยให้ร่างกายนำกลูโคสไปใช้ได้ดีขึ้น จึงช่วยลดน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่น่าสนใจคือ เอนไซม์อัลฟา-กลูโคซิเดสในใบฝรั่งมีบทบาทในการชะลอการย่อยคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นกลูโคส จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้ดีขึ้น นอกจากนี้ สารสกัดจากใบอ่อนของฝรั่งยังช่วยกระตุ้นเอนไซม์ protein tyrosine phosphatase 1B ซึ่งมีความสำคัญต่อการควบคุมอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากใบแล้ว ตัวผลฝรั่งเองก็มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลน้ำตาลในเลือดเช่นกัน ด้วยการผสานของสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุที่หลากหลายและอุดมสมบูรณ์
ข้อควรระวังในการใช้ฝรั่งเพื่อสุขภาพ
- แม้ฝรั่งและใบฝรั่งจะมีประโยชน์มากมาย แต่การนำใบฝรั่งมาใช้รักษาโรคควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ไม่ควรใช้ต่อเนื่องเองโดยไม่มีคำแนะนำ เพราะอาจเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้
- โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง ควรเฝ้าระวังและปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ฝรั่งหรือใบฝรั่งร่วมในการดูแลสุขภาพ
- ฝรั่งดิบหรือยังไม่สุก ควรหลีกเลี่ยงหรือรับประทานในปริมาณจำกัด เนื่องจากมีแทนนินสูง ซึ่งเป็นสารที่มีรสฝาด อาจทำให้ย่อยยากหากรับประทานมากเกินไป