เปิดมติมส. ตั้ง ‘กก.บริหารศาสนสมบัติ’ เน้น ‘พระอารามหลวง-วัดมีทรัพย์สินมาก’
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. เพจเฟซบุ๊ก สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ได้เผยแพร่ มติมหาเถรสมาคม (มส.) เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับการบริหารศาสนสมบัติของวัด ระบุว่า ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 19/2568 เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2568 เลขาธิการมหาเถรสมาคม เสนอว่า โดยที่ ศาสนสมบัติของวัด เป็นทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ซึ่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม วางหลักเกณฑ์ให้เจ้าอาวาสเป็นผู้มีหน้าที่ในการบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย อย่างไรก็ดี วัดมีขนาดและศักยภาพที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านศาสนสมบัติ บริบทชุมชน และการบริหารจัดการ ดังนั้น เพื่อให้การจัดการศาสนสมบัติของวัดเป็นไปโดยความเรียบร้อย มีธรรมาภิบาล โปร่งใส และเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอาวาส โดยไม่ลดทอนอำนาจหรือการแทรกแซงกิจการของวัด ตามหลักการที่กฎหมายคณะสงฆ์บัญญัติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จึงเห็นควรนำเสนอแนวปฏิบัติเพื่อมหาเถรสมาคมโปรดพิจารณา ดังนี้
1.แนวปฏิบัติกลาง ให้พระอารามหลวง และวัดที่มีศาสนสมบัติจำนวนมาก หรือมีความพร้อมด้านบุคลากรและระบบการบริหาร ดำเนินการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างรัดกุม ตามแนวปฏิบัติกลางนี้ โดยให้เจ้าอาวาสพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารศาสนสมบัติของวัด เพื่อทำหน้าที่ให้ข้อเสนอแนะ กลั่นกรอง วางแผน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในการบริหารศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี โดยมีองค์ประกอบ ดังนี้ 1.เจ้าอาวาส เป็นประธานกรรมการ 2.เจ้าอาวาสอาจพิจารณาแต่งตั้งให้รองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส หรือพระภิกษุอื่น ตามจำนวนที่เห็นสมควร เป็นกรรมการ 3.ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินหรือบัญชี อย่างน้อย 1 คน เป็นกรรมการ 4.ผู้แทนชุมชนซึ่งแต่งตั้งโดยเจ้าอาวาส จากผู้มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนา มีจริยธรรม มีบทบาทเกื้อกูลกิจการของวัดโดยสุจริต หรือเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในท้องที่ ทั้งนี้ อาจแต่งตั้งจากข้าราชการบำนาญ ข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือพุทธศาสนิกชน อย่างน้อย 2 คน ตามที่เจ้าอาวาสเห็นสมควร โดยต้องเป็นผู้มีจริยธรรมดีงาม มีความประพฤติเรียบร้อยเป็นที่ประจักษ์ ไม่มีประวัติเสื่อมเสีย และไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษหรือเคยต้องโทษคดีอาญา 5.ไวยาวัจกร เป็นกรรมการและเลขานุการ
เจ้าอาวาสอาจใช้ดุลพินิจกำหนดสัดส่วนและจำนวนองค์ประกอบของคณะกรรมการแตกต่างไปจากแนวปฏิบัติกลางได้ ภายใต้เงื่อนไขอันเหมาะสมกับบริบทของวัด โดยให้คณะกรรมการนี้ มีวาระการดำรงตำแหน่ง คราวละ 2 ปี และอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ ในกรณีที่มีเหตุอันควร เจ้าอาวาสอาจมีคำสั่งให้กรรมการพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระได้ ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ กลั่นกรอง ให้ข้อเสนอแนะเจ้าอาวาสในการวางแผน กำกับ ดูแล และจัดการศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี
2.แนวปฏิบัติเฉพาะ โดยหลักการทั่วไป ให้วัดทุกแห่งอนุวัตตามแนวทางในข้อ 1 แต่หากวัดใดยังไม่มีศักยภาพเพียงพอในการดำเนินการครบถ้วน ให้วัดนั้นพิจารณาดำเนินการตามความพร้อมด้านบุคลากร ทรัพยากร ศักยภาพภายใน และบริบทของชุมชน โดยคงหลักการสำคัญในเรื่องความโปร่งใส การมีส่วนร่วมและการถ่วงดุลตามหลักธรรมาภิบาล โดยไม่กระทบกระเทือนต่ออำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสตามพระธรรมวินัย และตามหลักการที่กฎหมายคณะสงฆ์บัญญัติ
จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏเกี่ยวกับปัญหาการบริหารจัดการภายในวัด ทั้งในด้านการจัดเก็บข้อมูล การดำเนินงานด้านการเงินและการบัญชี ตลอดจนการรายงานผลที่ยังไม่สมมาตรฐานและความโปร่งใส จนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของคณะสงฆ์ และความเชื่อมั่นของพุทธศาสนิกชน เจ้าอาวาสในฐานะผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายและพระธรรมวินัย จึงต้องพิจารณาดำเนินการตามแนวปฏิบัติตามมตินี้อย่างเต็มความสามารถ โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะดำเนินการจัดให้มีแนวทางและมาตรการสนับสนุน อาทิ การจัดอบรม การประชาสัมพันธ์ และการส่งเสริมให้มีระบบการตรวจสอบอย่างเหมาะสม
อนึ่ง กรณีที่ความเห็นของกรรมการบริหารทรัพย์สินของวัดรายใด ซึ่งดำเนินการตามแนวปฏิบัติตามข้อ 1 และข้อ 2 ขัดหรือแย้งกับเจ้าอาวาส ให้ถือความเห็นของเจ้าอาวาสซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ตามกฎหมาย และพระธรรมวินัยเป็นที่ยุติ หากวัดใดประสบปัญหาหรืออุปสรรคจนไม่สามารถดำเนินการตามแนวปฏิบัติข้างต้นได้ ให้เจ้าอาวาสปรึกษาเจ้าคณะพระสังฆาธิการผู้ปกครองเหนือตน หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด เพื่อขอให้เข้าช่วยเหลือ แนะนำ หรือบูรณาการความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการได้ตามหน้าที่และอำนาจของเจ้าอาวาส
3.ระบบบัญชีวัด ให้ทุกวัดดำเนินการตามมติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ 16/2568 มติที่ 495/2568 เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 2568 ตามแนวปฏิบัติการเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร การเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารของวัด และแนวทางการจัดทำบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่าย รายงานเงินคงเหลือของวัดหรือระบบบัญชีมาตรฐานของวัด โดยเร็ว
อนึ่ง ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามภัยคุกคาม และเสริมสร้างความมั่นคงในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 นั้น ที่ประชุมมีมติขอให้ทุกวัดเปิดเผยข้อมูลและส่งแบบรายงานบัญชีรายรับ บัญชีรายจ่ายของวัด และยอดเงินคงเหลือของวัด ต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด แล้วแต่กรณีตามรอบการรายงาน ตามมติมหาเถรสมาคม ที่ 495/2568 โดยเคร่งครัดทุกวัด ส่วนบัญชีธนาคาร ซึ่งเป็นบัญชีส่วนบุคคลนั้น เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจขอความร่วมมือในการตรวจสอบได้เฉพาะในกรณีเจ้าของบัญชียินยอม ยกเว้นกรณีที่มีการกระทำความผิดทางอาญา เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจตามกฎหมายย่อมมีอำนาจตรวจสอบหรืออายัดบัญชี หากได้ดำเนินการโดยชอบตามกระบวนการทางกฎหมายแล้ว
ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้ เห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ มอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม