ประเทศไทยมีพื้นที่ให้ ‘งานสร้างสรรค์’ แค่ไหน? ฟังเสียงสะท้อนจากผู้คนในแวดวงศิลปะ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าศิลปินที่ทำงานสร้างสรรค์ในแขนงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงศิลปะมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันก็มีศิลปินแขนงต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เป็นเรื่องดีในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมไทยทั้งภายในประเทศและการส่งออกสู่ต่างประเทศ
แต่ก็ยังมีเครื่องหมายคำถามใหญ่ๆ อันหนึ่งที่ชวนให้ขบคิดว่า พื้นที่หรือขอบเขตในการแสดงผลงานศิลปะในแขนงต่างๆ นั้นสอดคล้อง – หรือเพียงพอ – กับจำนวนผู้ที่สร้างสรรค์งานศิลปะหรือไม่?
คำตอบในใจของคนทำงานสร้างสรรค์ค่อนข้างคลุมเครือ เพราะในขณะที่แนวคิดการสร้างผลงานของศิลปินเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ขนาดของพื้นที่ในการแสดงผลงานสร้างสรรค์ที่หลากหลายกลับเติบโตไม่ทัน และยังมีเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทั้งตัวศิลปิน ผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของพื้นที่เช่นอาคาร แกลเลอรี พิพิธภัณฑ์ศิลปะ โรงมหรสพหลากหลายขนาด ไปจนถึงการขออนุญาตใช้พื้นที่สาธารณะในการแสดงงานศิลปะและงานรื่นเริง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้คนในแวดวงยังต้องทำความเข้าใจอีกมากเพื่อไม่ให้ขัดกับตัวกฎหมายที่อาจตามไม่ทันและไม่สอดคล้องกับบริบทในสังคมยุคใหม่
และเพราะนี่คือหนึ่งในข้อจำกัดที่กลายเป็นอุปสรรคต่อการขับเคลื่อนวัฒนธรรมสร้างสรรค์ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องหันหน้าทำความเข้าใจเพื่อหาทางออกร่วมกัน
วันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ได้จัดงานสัมมนา “แนวทางการปลดล็อกการใช้พื้นที่สร้างสรรค์ เพื่อเพิ่มโอกาสให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย” ขึ้นเพื่อหารือกับตัวแทนคนทำงานสร้างสรรค์ ทั้งคนทำหนัง, ศิลปิน, ผู้ประกอบการเจ้าของอาคารแสดงดนตรีขนาดเล็ก (Live house), ผู้ประกอบการธุรกิจโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก (Micro Cinema), เจ้าของพื้นที่แสดงงานศิลปะขนาดเล็ก (Art Space), คนทำหนังอิสระ, ผู้จัดธุรกิจการแสดงคอนเสิร์ตทั้งในระดับเล็กไปจนถึงเทศกาลดนตรีอิสระนานาชาติ
ไปจนถึงกลุ่มทำงานละครและศิลปะการแสดงที่ล้วนแล้วต่างก็ต้องใช้พื้นที่ในการแสดงผลงานสร้างสรรค์มาร่วมรับฟังและพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมาถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่ประชาชนซึ่งมีส่วนในการผลักดันศิลปะและวัฒนธรรมภายในประเทศจะได้มองเห็นภาพรวมปัญหา เพราะรอยร้าวอาจทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมและศิลปะร่วมสมัยของไทยเสียหายหนักขึ้นจนอาจจะถึงขั้นล้มครืนลง หากทุกภาคส่วนไม่สามารถมองเห็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวนั้นร่วมกัน
นี่คือเวทีที่เปิดให้ภาคประชาชนได้ส่งเสียงถึงระบบก่อนสายเกินไปที่จะซ่อมแซมสิ่งแวดล้อมของศิลปวัฒนธรรมในบ้านเรา
ศิลปะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ: โอกาสจากกองถ่ายต่างชาติ
ม.ร.ว.เฉลิมชาตรี ยุคล (คุณชายอดัม ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์, สารคดีและแอนิเมชั่น) กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยแต่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ก็ยังคงเติบโตสูง ทั้งนี้เป็นผลมาจากงานสร้างสรรค์มีความเกี่ยวโยงกับความรู้สึกของผู้คนเป็นหลัก ดังนั้นการที่จะทำให้งานศิลปะประสบความสำเร็จทางด้านการตลาดได้จะต้องรู้จักการประเมินและทำงานคุณค่าทางจิตใจของผู้เสพงานอย่างเหมาะสมด้วย
คุณชายอดัมแสดงทัศนะว่าการกระจายเม็ดเงินเพื่อนำไปสร้างภาพยนตร์หรือในแขนงเดียวกันอย่างซีรีส์ จะสามารถนำเงินที่ได้รับจากกองถ่ายหนังหรือซีรีส์ต่างประเทศมาใช้ได้ด้วย เพราะค่ายหนังระดับโลกมีเงินจ่ายเป็นจำนวนมหาศาลให้กับอุตสาหกรรมในไทย ไม่ใช่เฉพาะแค่การผลิตผลงาน แต่รวมถึงการใช้สินค้าและบริการในไทยด้วย กล่าวคือเราสามารถนำเงินที่ได้รับจากต่างประเทศมาใช้ในการผลิตผลงานในประเทศของเราเองได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการไหลเวียนของเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้เราสามารถนำองค์ความรู้ที่ทีมงานไทยทำงานกับต่างชาติมาใช้สร้างงานของตัวเองให้ดีขึ้นได้ และสามารถนำงานดีๆ ของเราไปสู้ในตลาดการซื้อขายต่างประเทศได้ด้วย
ธุรกิจสร้างสรรค์สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ถ้าหากว่าเราวางกลยุทธ์ได้ดี ซึ่งคุณชายอดัมมองว่าเราเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะปีนี้แค่ครึ่งปีแรกเรามีเงินหมุนเวียนเข้ามาแตะสามพันล้านแล้ว ส่วนรายรับจากอุตสาหกรรมในช่วงปลายปีนี้น่าจะได้ขั้นต่ำ 6 พันล้านบาท ซึ่งรัฐวางแผนไว้ว่าจะนำเงินที่ได้ไปสนับสนุน Soft Power ของเราประมาณ 750-1,000 ล้านบาท
บทบาทรัฐและเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจดนตรีไทย
ทางด้านคุณนัดส์ เจดีย์ ซึ่งดำรงตำแหน่งอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรีแสดงความเห็นว่า ธุรกิจดนตรีของไทยตั้งแต่ยุคหลังโควิดเป็นต้นมาโดยภาพรวมโตขึ้นมากในทุกๆ ด้าน แต่ตั้งแต่เริ่มต้นปี 2568 มาหากมองในภาพรวมก็เริ่มซบเซาลง เป็นไปได้ว่าอาจจะมาจากเศรษฐกิจที่ซบเซาหรือปัจจัยด้านอื่น ซึ่งคุณนัดส์มองว่ามันเป็นการชะลอตัวเป็นบางช่วง เพราะหลังจากนี้อาจจะดีขึ้นก็ได้
ทุกวันนี้รายได้ของศิลปินและเม็ดเงินที่นำไปพัฒนาอุตสาหกรรมดนตรี ลำพังเพียงแค่การโปรโมทผลงานของศิลปินอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความสมดุลทางการตลาด แต่ต้องพึ่งอินฟลูเอนเซอร์และสื่อออนไลน์ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายอดเอนเกจเมนต์มีส่วนผลักดันให้ศิลปินเป็นที่รู้จักได้ในวงกว้างได้ ส่วนรูปแบบการปล่อยผลงาน เปลี่ยนจากรูปแบบดิจิทัลไปเป็นสตรีมมิงทั้งหมดแล้ว ซึ่งมันเป็นช่องทางรายได้ของอุตสาหกรรมดนตรีทั่วโลกรวมถึงในไทยด้วย คุณนัดส์มองว่าเป็นรายได้ที่ค่อนข้างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากค่ายเล็กหรือค่ายใหญ่ก็ตาม
ในปัจจุบันมีศิลปินอิสระจากค่ายเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกได้ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น คุณนัดส์ยกตัวอย่าง ภูมิ วิภูริศ ที่เริ่มต้นอาชีพศิลปินด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาการโปรโมทจากค่ายใหญ่เลย สิ่งเหล่านี้ถือเป็นไกด์ไลน์เพื่อให้รัฐสามารถนำไปศึกษาและปรับใช้ในการสร้างยุทธศาสตร์ให้วัฒนธรรมดนตรีไทยไปสู่ตลาดโลกมากขึ้น และพอวงการเพลงไทยโตขึ้นไปเรื่อยๆ วงการก็ย่อมต้องการอะไรที่มากกว่าเดิม โดยคุณนัดส์เสนอว่าถ้าหากภาครัฐและเอกชนมาพูดคุยกันเพื่อหาจุดลงตัวในการทำงานร่วมกันได้ ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาในแต่ละส่วนได้อย่างตรงจุดมากขึ้น
ปัจจุบันศิลปินอิสระไทยมีความสามารถระดับโลกอยู่แล้ว แต่ความเก่งอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะศิลปินและทีมงานต้องวางกลยุทธ์ทางการตลาดที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ทันยุคที่วงการเพลงขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึมของผู้ฟังเพลง และช่องทางการจ่ายเงินที่ต้องมีความรอบคอบมากขึ้นตามเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วโลก สิ่งที่น่าทึ่งก็คือศิลปินและค่ายเพลงอิสระในไทยสามารถปรับกลยุทธ์ได้จนสามารถพาศิลปินอินดี้ไปสร้างชื่อในตลาดโลกได้อยู่ไม่น้อยเลย โดยคุณนัดส์แสดงทัศนะว่ามันจะเป็นอย่างไรหากว่ารัฐเข้ามามีส่วนผลักดันอุตสาหกรรมดนตรีอย่างเป็นระบบมากกว่านี้และยั่งยืนกว่านี้
อุตสาหกรรมศิลปะการแสดงไทย: โอกาสที่รัฐควรเห็น
พิเชษฐ กลั่นชื่น ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะการแสดง ได้พยายามที่จะหาข้อมูลว่าอุตสาหกรรมทางด้านศิลปะการแสดงจะเติบโตขนาดไหน ซึ่งเขาได้ค้นพบว่ามันมีเงินหมุนเวียนอยู่ที่ราวๆ 5 หมื่นกว่าล้าน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 2 พันล้าน ถ้าหากลงรายละเอียดจะพบว่าเงินที่ใช้ในอุตสาหกรรมนี้ไปตกอยู่ที่การท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ อีกส่วนหนึ่งที่เป็นเม็ดเงินหมุนเวียนอยู่ในประเทศไทยก็คือศิลปะการแสดงพื้นบ้าน ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย
สิ่งที่น่าสนใจก็คือมีเงินหมุนเวียนอยู่ในคณะลิเกคณะเดียวต่อหนึ่งปีอยู่ที่ 500-700 ล้านบาท ถ้าหากว่านำเม็ดเงินที่ได้จากคณะลิเกและหมอลำมารวมกันก็จะสูงเกือบ 80,000 ล้านบาท แต่เรามองข้ามสองส่วนนี้ไป งานวิจัยระบุไว้เลยว่าอุตสาหกรรมนี้สามารถเติบโตได้ถึง 90% ของระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งการแสดงลิเกและหมอลำมีเงินสะพัดมหาศาลขนาดนี้ แต่รัฐไม่เคยคิดว่าเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งที่มันคือ Soft Power ที่อยู่มานานก่อนคำนี้จะเกิดเสียด้วยซ้ำไป
ไม่น่าเชื่อว่าเม็ดเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้จะไม่ได้ช่วยให้ศิลปะพื้นบ้านเป็นที่สนใจในระดับมหภาคได้เสียที เพราะข้อเสียเปรียบในศิลปะการแสดงก็คือการที่ผู้ชมต้องพาตัวเองมายังพื้นที่เหล่านั้น และการทำเช่นนั้นย่อมมีค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในพื้นที่ เพราะถ้าสถานที่แสดงมีจำนวนเกิน 700 ที่นั่งเมื่อไหร่ คนก็จะเริ่มมองไม่เห็นการแสดงแล้ว และผู้ชมก็จะสื่อสารกับผู้แสดงไม่ได้
นี่คือสิ่งที่หลายคนมองข้ามไปว่าการแสดงศิลปะโดยมนุษย์ ท่วงท่าในการขยับร่างกายมีความจำเป็นที่ต้องได้เห็นในระยะที่เหมาะสม ซึ่งในความเห็นของคุณพิเชษฐมองว่าวงการศิลปะการแสดงในเวลานี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอมากที่สุด เพราะระบบเอนเตอร์เทนเมนต์และเทคโนโลยีที่เป็นมีเดียในอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทอย่างมาก
เขาหวังว่ารัฐบาลจะเข้ามาสนับสนุนโครงการศิลปะการแสดง ให้คนทำงานการแสดงถูกมองเห็นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ทิศทางการใช้พื้นที่สร้างสรรค์ด้านดนตรีในต่างประเทศที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
คุณ นัดส์ เจดีย์ ได้ยกตัวอย่างการจัดเทศกาลดนตรี Clockenflap ที่ฮ่องกงเป็นตัวอย่าง เนื่องจากรัฐบาลฮ่องกงใช้พื้นที่ใจกลางเมืองติดกับ Victoria Harbour's Central Harbourfront เลย ซึ่งเป็นโลเคชันที่สวยงามมาก มีเวทีสำหรับจัดแสดงคอนเสิร์ต 3-4 เวที ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้เสียงด้วยเพราะว่าการร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก
ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่เป็นไอดอลทางฝั่งดนตรีของเอเชียเลยก็ว่าได้ เพราะเขาใช้พื้นที่ในการแสดงดนตรีได้หลากหลายมาก ทั้งในสนามกีฬา, โซนหุบเขา (งาน Fuji Rock), พื้นที่สาธารณะ, สวนสวยๆ กลางเมืองในการแสดงดนตรี เขาใช้ได้หมด ซึ่งไทยเราก็อยากได้แบบนี้เหมือนกัน ทั้งค่ายเพลง ผู้จัดหรือสื่อต่างก็เห็นตรงกัน ยกตัวอย่างว่าหากเราสามารถจัดเทศกาลดนตรีที่สวนลุมฯหรือว่าสวนรถไฟได้ก็คงจะดี เพราะเป็นพื้นที่ที่ร่มรื่นเหมาะแก่การชมดนตรีแบบสบายๆ
แต่เราต้องนิยามคำว่าพื้นที่ในการจัดงานศิลปะกันใหม่เสียก่อน เนื่องจากนิยามของคำว่าพื้นที่สาธารณะในไทยยังคลุมเครือ เพราะพื้นที่ต่างๆ ไม่ได้ถูกมองเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะหรือดนตรีจริงๆ คนส่วนใหญ่ยังมองว่ามันเป็นพื่นที่สำหรับวิ่ง ออกกำลังกาย หรือใช้สำหรับพักผ่อนหย่อนใจเป็นหลักอยู่
ทั้งนี้ สิ่งที่รัฐควรจะปรับปรุงแก้ไขมีหลายอย่าง แต่ที่คุณนัดส์เสนอก็คือรัฐควรจัดโครงการ ‘สภาพแวดล้อมจำลอง’ (Sandbox) เพื่อทดลองทำในสิ่งที่เราเสนอมา ให้คนทำงานสร้างสรรค์ได้มีพื้นที่ในการแสดงผลงานได้อย่างมีประโยชน์สูงสุด โดยภาคเอกชนส่วนใหญ่ไม่ได้ติดอะไรในเรื่องการจัดกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะ แต่ต้องให้รัฐร่วมมือกับทางเอกชนอย่างเต็มระบบด้วย
จากโรงงานเก่าสู่เวทีศิลป์: พื้นที่ทางเลือกของ Soft Power และการใช้พื้นที่สร้างสรรค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจวัฒนธรรม
ทางด้าน เสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านศิลปะเสนอว่าจีนใช้อาคารโรงงานผลิตยาสูบที่มีพื้นที่ของรัฐราวๆ 5 หมื่นตรม.มาดัดแปลงเพื่อใช้แสดงงานศิลปะที่หลากหลายได้ ซึ่งรัฐไทยสามารถนำมาเป็นโมเดลในการใช้พื้นที่เพื่อแสดงงานสร้างสรรค์ได้เช่นกัน เช่นการนำสถานีรถไฟเก่ามักกะสันมาดัดแปลงเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ เช่นเดียวกันกับคลังสินค้าคลองเตย ซึ่งก็ต้องมาดูกันต่อว่าขนาดของอาคารซึ่งมีความแตกต่างกันจะสามารถนำมาจัดสรรปันส่วนอย่างไรได้บ้าง เช่น สถานีรถไฟเก่ามีที่ซ่อมรถไฟ อาคารบางหลังที่มีสแตนด์เยอะๆ มีเวทียาวสัก 15 เมตรก็สามารถนำไปทำเป็นโรงละครขนาด 400 ที่นั่งได้ ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นโรงละครแล้วก็สามารถใช้เป็นที่แสดงดนตรีได้เช่นกัน
ในส่วนของเทศกาลดนตรี คุณเสริมคุณย้อนอดีตให้ฟังว่าเขาเคยจัดเทศกาลดนตรีหัวหินแจ๊สในช่วงหน้าฝน ซึ่งถูกต่อว่าว่าทำไมถึงไปจัดหน้าฝน แต่จุดประสงค์ของการจัดงานไม่ได้โฟกัสไปที่ศิลปะดนตรีเพียงอย่างเดียว เพราะฤดูฝนที่หัวหินเป็นช่วง Low Season ซึ่งการจัดเทศกาลดนตรีแจ๊สทำให้เกิดการจองโรงแรมเป็นจำนวนมากและทำให้เกิดปรากฏการณ์โรงแรมถูกจองเต็มทุกแห่งตั้งแต่ปีแรกที่จัด ไล่ตั้งแต่หัวหินไปจนถึงปราณบุรี เพราะมีจำนวนผู้เข้าชมถึง 5 หมื่นคน เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการวางแผนใช้ดนตรีเป็นสื่อกลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับภูมิภาคเป็นสิ่งที่ทำได้ และรัฐควรใช้โมเดลนี้ในการใช้ดนตรีหรือศิลปะแขนงอื่นๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจลักษณะเดียวกัน
สิ่งที่น่าสนใจก็คือการจัดงานลักษณะนี้สามารถประเมินทัศนคติของคนไทยที่มีต่อดนตรีแนวหนึ่งได้ คุณเสริมคุณแสดงความเห็นว่าคนไทยมองว่าแจ๊สเป็นเรื่องของรสนิยมมากกว่าแนวเพลง หมายความว่าแจ๊สคือเทรนด์และแฟชั่นรูปแบบหนึ่งที่มาแล้วก็ไป ส่งผลให้เทศกาลดนตรีหัวหินแจ๊สในยุคหลังๆ มีผู้ที่ไม่ได้มาเพื่อเสพดนตรีมากขึ้น เพราะตามกฎหมายแล้วชายหาดเป็นพื้นที่สาธารณะใครจะมาก็มาได้ และเทศกาลดนตรีที่ไม่เก็บเงินค่าตั๋วและไม่กั้นพื้นที่เป็น Music Festival ส่งผลให้หลังจากที่จัดงานไปได้ไม่กี่ปี เทศกาลดนตรีแจ๊สริมชายหาดนี้ก็ต้องยุติลงในที่สุด
พิเชษฐ กลั่นชื่น ได้กล่าวเสริมในประเด็นนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยคือพื้นที่เป็นพื้นที่ของรัฐ ไม่ได้เป็นของประชาชนร้อยเปอร์เซนต์ ส่วนตะวันตกศิลปะเป็นสวัสดิการ เพราะศิลปะจ่ายด้วยภาษีของประชาชน ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงศิลปะได้อย่างเท่าเทียมกัน ในต่างประเทศสถานที่ทำงานศิลปะถูกใช้ถูกสร้างโดยประชาชนทั้งหมด เพราะฉะนั้นใครจึงแตะไม่ได้ วิธีการแก้ปัญหาในเรื่องพื้นที่การสร้างสรรค์ก็คือเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของให้ได้
สวนสาธารณะไม่ใช่ของประชาชน? เสียงสะท้อนจากผู้จัดเทศกาลดนตรี
สำหรับการใช้พื้นที่จัดคอนเสิร์ตหรือเทศกาลดนตรี คุณท็อป (ศรัณย์ ภิญญรัตน์) ผู้ร่วมก่อตั้งฟังใจ บริษัทสตรีมมิงเพลง ผู้จัดคอนเสิร์ตอิสระ และหนึ่งในผู้จัดเทศกาลดนตรีที่ได้รับเสียงชื่นชมจากนักฟังเพลงอินดี้ในไทยมากที่สุดอย่างงาน ‘มหรสพ’ ได้ตั้งคำถามต่อรัฐว่า พื้นที่ที่ยังไม่สามารถปลดล็อกเพื่อใช้จัดงานได้อย่างอิสระคือสวนสาธารณะและอาคารราชการ โดยคุณท็อปเผยว่าในต่างประเทศรัฐอนุญาตให้จัดคอนเสิร์ตในพื้นที่สาธารณะได้ ยกตัวอย่างเช่น เทศกาล Clockenflap ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่ฮ่องกง
คุณท็อปมองว่าไทยแทบจะไม่เคยจัดเทศกาลดนตรีในสวนสาธารณะเลย ข้อแรกคือผู้จัดไม่สามารถใช้พื้นที่สาธารณะในเชิงพาณิชย์ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถเก็บค่าเข้าชมได้ สองคือผู้จัดไม่สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ ถ้าถามว่าทำไมจะต้องขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็ต้องแยกออกเป็นสองปัจจัย ปัจจัยแรกก็คือค่าใช้จ่ายในการจัดงานและรายรับจากค่าขายบัตรและอื่นๆไม่สอดคล้องกัน เพราะถ้าขายบัตรอย่างเดียวจะได้กำไรน้อยมากหรือแค่เท่าทุน
ต้องยอมรับว่าผู้จัดคอนเสิร์ตในปัจจุบันอยู่ได้ด้วยเงินจาก Sponsorship ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินที่ได้มาจากแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยที่สองที่ต้องยอมรับก็คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ผู้คน ถ้าไม่มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็จะเกิดการร้องเรียนขึ้นแน่นอน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันคือหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการจัดคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนข้อที่สาม ซึ่งเป็นข้อที่ติดปัญหามากพอสมควรก็คือการใช้เสียง ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่กรุงเทพฯ ไม่ได้มีการแบ่งผังเมืองว่าตรงนี้เป็น Entertainment Area ตรงนี้เป็น Residential Area ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเรื่องการร้องเรียนว่ามีการใช้เครื่องขยายเสียงที่ดังเกินไป ปัจจุบันการใช้พื้นที่สาธารณะในการจัดงานใช้เสียงไม่มีการกำหนดว่าพื้นที่ขนาดเท่านี้จะให้คนเข้างานได้เท่าไหร่ หรือจะใช้เสียงได้ไม่เกินกี่เดซิเบล ปัญหานี้อยู่ในการควบคุมของ พ.ร.บ.สาธารณสุข การจัดคอนเสิร์ตก็ต้องใช้เสียง แต่เสียงมันก็ไปรบกวนผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงด้วย เรื่องนี้คุณท็อปมองว่าเราควรจะมาหารือกันว่าเสียงที่ถือว่าดังเนี่ยคือดังเท่าไหร่ เพราะปัจจุบันไม่มีมาตรฐานหรือกฎตรงกลางมาวัดได้
การตีความกฎหมายเกี่ยวกับพื้นที่ราชการและข้อเสนอ Sandbox
สำนักงาน ป.ย.ป. โดยคุณณัฐพล ลีลาวัฒนานันท์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาโครงการนี้ ได้ถามถึงข้อเสนอว่าอยากให้รัฐดำเนินการไปในลักษณะใด ซึ่งคุณท็อปได้เสนอว่าควรจะมีการออกกฎหมาย Sandbox ที่หากมีการจัดอีเวนต์ในลักษณะที่มีปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมด กฎหมายที่บังคับใช้กับพื้นที่สาธารณะจะถูกยกเว้นชั่วคราว ซึ่งคุณท็อปก็เข้าใจว่าสนามกีฬาหรือสวนสาธารณะมาจากเงินภาษีประชาชน ไม่ควรนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ แต่ถ้าหากพื้นที่เหล่านี้ถูกเช่า จะเป็นไปได้ไหมที่จะละเว้นกฎที่มีมาทั้งหมดไว้ก่อนและนำ Sandbox ที่เสนอมาครอบแทน
สมมุติว่าจะจัดงานกลางสวนลุมฯ เลย หากมีการใช้ Sandbox ก็จะมีการยกเว้นกฎหมายเดิมไว้ชั่วคราวเฉพาะระยะเวลาที่ใช้จัด และต้องมาหารือร่วมกันว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนกับชุมชน และให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาควบคุมดูแลด้วย เช่นการควบคุมคนเป็นพันเป็นหมื่นคนที่มาร่วมงาน หรือการจราจร เพื่อให้การจัดงานในพื้นที่สาธารณะเกิดความสมดุลและความสงบสุขร่วมกัน ซึ่งการทดลองใช้ Sandbox นี้จะสามารถนำไปประยุกต์กับผู้จัดทุกเจ้าที่มาจัดงานในสวนสาธารณะได้
ก่อนที่จะไปถึงเรื่องการร่างกฎหมาย Sandbox สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจก่อนก็คือคำจำกัดความของคำว่า ‘สถานที่ราชการ’ ในความหมายของรัฐและเอกชนนั้นเป็นไปในทางเดียวกันหรือเปล่า เพราะกฎหมายโฆษณาด้วยเครื่องขยายเสียงระบุเอาไว้ว่าห้ามใช้เสียงไม่ใกล้กว่า 100 เมตรจากสถานที่อย่างวัด โรงพยาบาล โรงเรียนและอื่นๆ
คุณท็อปยกตัวอย่างเทศกาลดนตรีบางทีเทศกาลซึ่งจัดที่ราชมังคลากีฬาสถานแต่สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ด้วย ถือว่าลักษณะที่ยกมาเข้าข่าย Sandbox ที่เป็นหนึ่งในข้อยกเว้นที่ทางผู้จัดต้องการ เพราะขายได้ทั้งบัตร ขายได้ทั้งแอลกอฮอล์ ซึ่งทางสำนักงาน ป.ย.ป. มองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีข้อกฎหมายยกเว้นและหน่วยงานอนุญาต เพียงแต่อาจไม่เป็นที่รับรู้ในหมู่ผู้ประกอบการถึงช่องทางและขั้นตอนวิธีการในการติดต่อหน่วยงานราชการเพื่อขออนุญาตหรือขอยกเว้นในลักษณะดังกล่าว
สิ่งที่น่านำมาคิดต่อก็คือ วัฒนธรรมไทยอันดีงามที่ฝังรากลึกอาจจะเป็นปัญหาหลักที่ทำให้การตีความกฎหมายเลือนรางลง เพราะมีคำว่าศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยคุณท็อปได้ยกตัวอย่าง เทศกาลดนตรีมหรสพซึ่งจัดขึ้นในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ งานนี้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และไม่มีกฎหมายข้อไหนที่ห้ามไม่ให้คนอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้างาน แต่งานนี้อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุ 20 ปีเท่านั้นที่เข้างานได้ เพราะเจ้าหน้าที่ในเขตที่รับผิดชอบไม่อยากให้มีการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีทั้งๆ ที่ไม่มีกฎหมายข้อไหนมาบังคับใช้ได้ เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์มากกว่า สุดท้ายแล้วถ้าหากว่าผู้จัดไม่ทำตาม เขาก็จะไม่เซ็นอนุญาตให้ใช้เครื่องขยายเสียง เพราะ พ.ร.บ. เครื่องขยายเสียงมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้อย่างเต็มที่ ทำให้ท้ายที่สุดท้ายผู้จัดก็ต้องยอม
สิ่งนี้นำมาสู่ความย้อนแย้ง นั่นคือถึงแม้ว่าพื้นที่จะเป็นของเอกชนแต่เจ้าหน้าที่รัฐกลับไม่ยอมให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีเข้างาน นี่คือ Pain Point หลักๆ เลยที่ผู้จัดคอนเสิร์ตทุกเจ้าต้องเผชิญและต้องยอมรับ เพราะไม่มีกฎหมายที่ให้ปฏิบัติตามโดยตรง ส่งผลให้ผู้จัดต้องไปศึกษาข้อกฎหมายมาตราอื่นที่มีความใกล้เคียงที่สุดเพื่อนำมาใช้ในการจัดงานให้ถูกต้อง
เมื่อกฎหมายเก่าขวางธุรกิจสร้างสรรค์: ปัญหาที่เทศกาลดนตรีมหรสพต้องเผชิญ
ผู้แทนกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้ชี้แจงถึงปัญหานี้ว่าจริงๆ แล้วส่วนราชการจะมีพื้นที่และมีหลายระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่นกรมส่งเสริมวัฒนธรรมก็จะมีพื้นที่ที่ให้เอกชนมาเช่าเพื่อใช้พื้นที่เพื่อแสดงงานสร้างสรรค์เพื่อหาผลกำไรต่างๆ ได้ เพียงแต่สถานที่ราชการตามกฎหมายของกระทรวงสาธารณสุขจะไม่สามารถจำหน่ายสุราได้ แต่จะมีบางส่วนของสถานที่ที่ไม่สามารถให้ใช้พื้นที่เพื่อการค้าได้เลย นอกเสียแต่ว่าจะเปิดขายบัตรเพื่อนำเงินเข้ามูลนิธิการกุศลเท่านั้น สำหรับแนวทางการทำ Sandbox จะนำไปสู่การพิจารณาปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะรองรับข้อเรียกร้องแบบนี้ได้
คุณแป๋ง (พิมพ์พร เมธชนัน) หนึ่งในโปรโมเตอร์จัดเทศกาลดนตรีมหรสพแสดงความเห็นที่น่าสนใจว่าคนทำงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการแสดง, ละคร, พื้นที่แสดงงานศิลปะและภาพยนตร์ ต่างก็ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันนั่นก็คือ ‘โรงมหรสพ’ (ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522) แต่คุณแป๋งแสดงทัศนะว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะนิยามกิจกรรมที่หลากหลายเหล่านี้ให้มีความหมายที่แตกต่างกันมากกว่านี้ และก่อนที่จะแก้ไขกฎหมายเราควรจะต้องเข้าใจรูปแบบของธุรกิจแต่ละประเภทเสียก่อน เพราะว่าโลกเมื่อร้อยปีที่แล้วกับปี 2025 รูปแบบของการทำกิจกรรมมันเปลี่ยนไปมาก
เธอเสนอว่าเราควรแยกประเภทของกิจกรรมต่างๆ ออกจากกันเพื่อที่จะหากฎหมายหรือข้อบัญญัติที่จะมาควบคุมการจัดงานในเรื่องที่ละเอียดอ่อนและเพื่อความเหมาะสมมากขึ้น เพื่อที่จะจัดกิจกรรมตามธุรกิจได้จริงๆ เพราะหากธุรกิจดำเนินไปไม่ได้ เศรษฐกิจก็ย่อมไม่เกิดขึ้น โดยคุณแป๋งมองว่ารากของปัญหาในการจัดงานบันเทิงรื่นเริงต่างๆ คือเราไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง ผลก็คือธุรกิจไม่สามารถพัฒนาไปได้เลย การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ใช่การประนีประนอมหากแต่เป็นการคิดบวกเพื่อนำไปสู่มูลค่าที่เพิ่มขึ้นทั้งในเรื่องธุรกิจโดยที่ไม่ขาดทุนและเป็นการเพิ่มคุณค่าเชิงศิลปะด้วย
คุณแป๋งแสดงทัศนะเพิ่มเติมว่าปัญหาเรื่องธุรกิจบันเทิงที่เป็นมาตลอดก็คือเรื่องเงินทุนและในปัจจุบันผู้ประกอบการไม่มีแม่แบบที่ชัดเจนที่จะมาควบคุมต้นทุนและรายได้ของผู้ทำธุรกิจประเภทนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นมาตลอดว่าคนที่ทำธุรกิจจำนวนมากต้องสู้หนักมาก ส่วนคนที่สู้ไม่ไหวก็ต้องหยุดทำไป เราจึงต้องมองให้ออกให้ได้ก่อนว่าความเสี่ยงและผลกระทบที่มีต่อสังคมมันคืออะไร อย่างเช่นการจัดคอนเสิร์ตในสวนสาธารณะ ผลกระทบที่จะเกิดกับสังคมและพื้นที่โดยรอบคืออะไรบ้าง ถ้าประเมินออกมาแล้ว นั่นคือค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่าย ซึ่งเธอมองว่าค่าใช้จ่ายที่เสียไปนั้นควรได้รับเงินที่เป็นกำไรกลับมาเพื่อนำเงินที่ได้ไปพัฒนาอะไรต่อไปได้อีก
สิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจดนตรีต้องการจากภาครัฐคือ ‘โอกาสในการเข้าถึงพื้นที่’ ที่ทำให้ธุรกิจทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ทุกวันนี้ทุกฝ่ายทำงานกันลำบากมาก เทศกาลดนตรีมหรสพต้องไปจัดงานกันที่รังสิตซึ่งอยู่ไกลมากๆ บทสรุปคือคนเดินทางไปลำบาก กลับบ้านลำบาก รถติดในซอย นั่นคือผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นด้วย มีการสร้างรายได้ให้กับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เกิดการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภค
คุณแป๋งกล่าวย้อนกลับไปว่าเมื่อก่อนงานมหรสพจัดแถวๆ พระราม 9 ใจกลางเมือง การเดินทางสะดวก แต่พอมีการสร้างคอนโดมิเนียมขึ้นก็จำเป็นต้องย้าย แต่ข้อน่าสงสัยก็คือมีบางงานที่กลับไปจัดตรงนั้นได้ โดยต้องมีการจ่ายเงินให้กับผู้อยู่อาศัยใกล้เคียงหรือใครก็ตาม แต่ผลกระทบจะกลับมาตกอยู่ที่ผู้บริโภคทันที เพราะจะต้องจ่ายเงินค่าบัตรมากขึ้น
ความเป็นไปได้ใหม่ของพื้นที่ราชการในงานดนตรี และแอลกอฮอล์ในงานดนตรี: ช่องว่างกฎหมายและทางออกเชิงนโยบาย
ด้านคุณณัฐพล ทีมที่ปรึกษาของสำนักงาน ป.ย.ป. ผู้จัดงานสัมมนาในครั้งนี้ ฟังปัญหาแล้วบอกว่าไม่อยากให้คนทำธุรกิจดนตรีหมดกำลังใจและเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่เสนอความคิดเห็นที่จะเป็นแนวทางในการแก้กฎหมายสถานบันเทิงให้มีความทันสถานการณ์ขึ้น โดยได้ยกตัวอย่างที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับการทำธุรกิจดนตรีโดยตรง แต่เกี่ยวกับการใช้พื้นที่ที่ดูแลโดยรัฐ เพื่อให้ประชาชนได้ทำธุรกิจได้ อย่างเช่นรัฐอนุญาตให้ชาวสวนที่ไม่มีที่ทำกินและไม่ได้เป็นนายทุนสามารถเข้าไปกรีดยางหรือทำการเกษตรในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่อสร้างรายได้ได้ ตราบใดที่ไม่มีการบุกรุกและต้องทำการอนุรักษ์ไปในตัวด้วย
การยกตัวอย่างของคุณณัฐพลแสดงให้เห็นถึงการทดลองปรับเปลี่ยนทัศนคติว่าอุทยานแห่งชาติหรือป่าสงวนไม่สามารถเข้าไปทำสวนเพื่อหารายได้ได้ แต่จริงๆ แล้วถ้าหากมีการหารือกันก็สามารถทำได้ สิ่งเหล่านี้สื่อถึงข้อเสนอของคุณแป๋งที่ว่าถ้าหากจะมีการจัดเทศกาลดนตรีในพื้นที่ที่เป็นไปไม่ได้ในทางทฤษฎี อย่างในพื้นที่ที่ดูแลอย่างเข้มงวดโดยรัฐ แต่หากมีการหารือเพื่อหาทางออกร่วมกันก็มีทางที่จะเป็นไปได้และสามารถทดลองดูได้ด้วยโครงการในรูปแบบ Sandbox พร้อมคำนึงเรื่องความเหมาะสมไปด้วย เนื่องจากพื้นที่สาธารณะมีหลายประเภทและมีตัวบทกฎหมายหลายมาตรากำกับดูแลอยู่ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่รัฐจะจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมให้กับผู้จัดได้โดยที่ยังไม่ต้องมีการแก้ไขพ.ร.บ. แต่เป็นการปรับเปลี่ยนในเชิงนโยบายแทน
คุณต้อม (พงศ์สิริ เหตระกูล) หนึ่งในอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรีได้ไขข้อสงสัยว่าทำไมงาน H2O ซึ่งจัดที่ราชมังฯ ถึงสามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ โดยบอกว่าเป็นเพราะมีการหารือกับหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบซึ่งสามารถอนุญาตหรือยกเว้นผ่อนผันได้ ในกรณีนี้ถือว่าเป็น Sandbox ที่มีการพยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่หลังจากงานนั้นแล้วก็ยังไม่มีงานไหนขายแอลกอฮอล์ได้อีกเลย เพราะมันยังไม่มีการเขียนหรือแก้ไขกฎหมายกันใหม่เพื่อให้การจัดงานในสถานที่ราชการบางที่สามารถขายแอลกอฮอล์ได้
ความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและวัฒนธรรมในพื้นที่สร้างสรรค์
กรุงเทพฯ จุดศูนย์กลางของพื้นที่การจัดงานสร้างสรรค์ยังมีปัญหาในหลายด้านที่ต้องการให้ภาครัฐปรับปรุงให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันการกระจายอำนาจเพื่อให้คนทำงานสร้างสรรค์ในต่างจังหวัดได้แสดงผลงานก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่ไม่น้อยเลย
ไมค์ (สิทธิกร อินทร์เรือง) ตัวแทนจากสื่อดนตรีอย่าง Go on G, ผู้จัดงานโฟล์คข้างวัดและงานศิลปะดนตรีในจังหวัดอยุธยาออกความเห็นว่ารัฐควรมีบุคลากรที่ทำงานศิลปะอยู่ในวงการจริงและเผชิญหน้ากับปัญหาในหลายๆ ด้านเข้าไปทำงานเป็นที่ปรึกษาโดยตรง เพื่อที่จะแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด
ข้อเสนอแนะที่คุณไมค์อยากให้รัฐเข้ามาดูแลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมศิลปะและดนตรีอิสระในไทยอย่างแรกเลยก็คือ ประชาชนในจังหวัดไม่ได้รับการสนับสนุนในการทำงานสร้างสรรค์ แต่ถึงจะได้รับไฟเขียวให้จัดงานได้และมีการเช่าสถานที่แล้วก็ต้องไปเจรจาต่อรองกับทางเจ้าหน้าที่อยู่ดี
อย่างที่สองเลยก็คือนักศึกษาวิชาศิลปะไม่มีโอกาสได้จัดแสดงผลงานของตัวเอง เพราะไม่มีพื้นที่ให้จัดเหมือนนักศึกษาศิลปะในกรุงเทพฯ นี่คือปัญหาที่ทำให้นักศึกษาไม่มีความคิดที่จะสร้างผลงานที่แสดงมุมมองของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ แต่จะทำงานศิลปะเพียงเพื่อที่จะส่งอาจารย์เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย ข้อเสนอของคุณไมค์คืออยากให้รัฐจัดพื้นที่พิเศษเพื่อสามารถใช้จัดแสดงงานศิลปะหลากหลายประเภทได้ เพราะศิลปินที่สร้างผลงานศิลปะในต่างจังหวัดแทบจะหาพื้นที่ในการแสดงผลงานสร้างสรรค์ให้กับตัวเองไม่ได้เลย ถ้าหากเป็นไปได้คุณไมค์ก็อยากให้มีการปรับปรุงกฎหมายปลดล็อกพื้นที่สร้างสรรค์ กระจายอำนาจไปสู่ต่างจังหวัดมากกว่านี้
การที่อำนาจจากศูนย์กลางกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวง ส่งผลให้ศิลปะแขนงต่างๆ มักสะท้อนวิธีคิดของคนเมืองกรุงเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ศิลปะพื้นบ้านและวัฒนธรรมท้องถิ่นกลับถูกมองข้ามอย่างน่าเสียดาย ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เชิงภูมิศาสตร์ แต่ฝังรากอยู่กับความเหลื่อมล้ำในการมอง ‘คุณค่า’ ของศิลปะ โดยเฉพาะศิลปินที่ไม่ได้อยู่ในตัวเมือง ซึ่งมักถูกประเมินว่ามีศักยภาพต่ำกว่าศิลปินในเมืองใหญ่
นอกจากนี้ ความเชื่อของผู้ใหญ่ในสังคมอนุรักษนิยมจำนวนมากยังมองว่าศิลปะไม่ใช่อาชีพที่มั่นคงหรือสร้างหน้าสร้างตาได้ ส่งผลให้เยาวชนต้องแบกรับความฝันอย่างเดียวดาย โดยปราศจากแรงสนับสนุนจากครอบครัวและรัฐ
ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าเยาวชนไม่ได้ต้องการแค่พื้นที่แสดงผลงาน แต่คือพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองโดยไม่ต้องฝืนความเชื่อเก่าๆ
Live House: Soft Power ที่ต้องการการซัพพอร์ตจากรัฐ
คุณแมคคี (พีระพงศ์ แก้วแท้) เจ้าของอาคารแสดงคอนเสิร์ตขนาดเล็กอย่าง Blueprint Live House ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ว่ารัฐจะให้การสนับสนุนซีนดนตรีมาเป็นระยะเวลาปีกว่าแล้วก็ตาม แต่ภาครัฐก็ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงปัญหา ซึ่งก็นำมาสู่คำถามว่าผู้ทำธุรกิจดนตรีต้องการให้รัฐซัพพอร์ตเรื่องอะไรบ้าง
คุณแมคคีเสนอว่ารัฐอาจจะเข้ามาสนับสนุนผู้ประกอบการด้านดนตรีในเรื่องของภาษีได้ เนื่องจากทาง Blueprint เป็น Live House ขนาดเล็กและมีการจัดคอนเสิร์ตราวๆ 17 ครั้งต่อเดือน โดยการจ่ายภาษีถือว่าเท่ากับธุรกิจพาณิชย์ทั่วไป
ในคำถามที่ว่าทำไมถึงมีการเรียกร้องให้รัฐช่วยลดภาษีให้กับธุรกิจ Live House คุณแมคคีไขข้อสงสัยว่าในขณะที่ธุรกิจพาณิชย์อย่างการขายส่งขายปลีกและอื่นๆ มีรายรับรายจ่ายที่ค่อนข้างตายตัว ธุรกิจ Live House กลับต่างออกไป เพราะการขายบัตรที่มียอดขายไม่แน่นอนทำให้ไม่สามารถคาดเดาต้นทุนในทุกครั้งได้ ส่วนภาษีก็ต้องจ่ายเยอะมาก ซึ่งทางคุณแมคคีเสนอว่าถ้าหากรัฐแบ่งโรงมหรสพให้เป็น 1 ใน 7 (7F ประกอบไปด้วย Food, Film, Fashion, Fighting, Festival, Folk และ Future) ของคณะกรรมการส่งเสริม Soft Power ของไทย (THACCA) ได้ มันจะมีทางเป็นไปได้ไหมที่ทาง ป.ย.ป.จะประสานงานกับรัฐเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายเรื่องของภาษีให้ผู้ประกอบการ Live House ได้
หากมองในภาพรวมธุรกิจ Live House ถือเป็น Soft Power ที่มีความสำคัญต่อทั้งศิลปินอิสระในการเผยแพร่ผลงาน ไม่ว่าจะในรูปแบบคอนเสิร์ตและการจำหน่ายซีดีรวมถึงสินค้าอื่นๆ โดยทาง Blueprint ได้ร่วมงานกับต่างประเทศอย่างสม่ำเสมอ และมักจะมีค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ผู้ประกอบการเป็นคนแบกรับเอง ถ้าหากเป็นไปได้อยากให้รัฐมาช่วยซัพพอร์ตในส่วนนี้
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตัวแทนของรัฐยังไม่เข้าใจรูปแบบธุรกิจ Live House เนื่องจากสถานที่จัดคอนเสิร์ตขนาดเล็กเป็นการทำธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ที่เน้นการสนับสนุนศิลปินอิสระ และเปิดโอกาสให้นักฟังเพลงสายอินดี้ได้มีโอกาสได้รับชมโชว์ดีๆ ที่ไม่ได้มีสเกลในการจัดคอนเสิร์ตที่ใหญ่โตและเป็นธุรกิจที่เกิดเพิ่งบูมขึ้นมาไม่นานมานี้เพื่อรองรับกลุ่มผู้เสพงานศิลปะดนตรีเฉพาะกลุ่ม รูปแบบของการทำธุรกิจประเภทนี้จึงถือว่าใหม่ ซึ่งคุณแมคคีถือเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ประกอบการ Live House ที่อธิบายรูปแบบการธุรกิจพอสังเขปว่า
Live House เป็นพื้นที่ที่ให้ศิลปินมาเช่าเพื่อเล่นดนตรี ส่วนใหญ่จะเป็นการขายบัตรเพื่อให้คนมาดู ซึ่งกฎหมายของไทยยังไม่อัปเดตมากพอที่จะเข้าใจว่าธุรกิจประเภทนี้คืออะไร เนื่องจากตอนไปจดทะเบียนเพื่อทำธุรกิจ เจ้าหน้าที่รัฐมองว่านี่คือธุรกิจร้านเหล้า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ร้านเหล้า เพราะถึงจะมีการขายเครื่องดื่ม แต่เป้าหมายหลักของการทำธุรกิจคือการเปิดพื้นที่ให้ศิลปินอิสระมาแสดงคอนเสิร์ต การพึ่งรายได้จากการขายบัตรอย่างเดียวและแบ่งส่วนหนึ่งให้กับศิลปินทำให้ผู้ประกอบการต้องแบกภาระหลายอย่าง
แนวคิดเรื่องการให้รัฐสนับสนุนผ่านการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการ Live House หรือธุรกิจในกลุ่ม Soft Power (7F) อาจยังเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติขณะนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ หากเกิดการผลักดันจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รัฐกำลังให้ความสำคัญกับ Soft Power มากขึ้นเรื่อยๆ และหากมีการทบทวนหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น พ.ร.บ. สถานบันเทิงก็อาจเปิดทางให้เกิดมาตรการสนับสนุนใหม่ๆ ได้ในอนาคต ถึงแม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาพอสมควรก็ตาม
นอกจากการผลักดันปลดล็อกกฎหมายต่าง ๆ แล้ว ทางสำนักงาน ป.ย.ป. ยังมีบทบาทในการจัดทำมาตรการสิทธิประโยชน์เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ด้วย โดยที่ผ่านมาได้มีการขับเคลื่อนมาตรการร่วมกับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสาขาต่าง ๆ อาทิ มาตรการ Cash Rebate เพื่อสนับสนุนการผลิตภาพยนตร์ ละครและซีรีส์ ซึ่งรวมถึงแอนิเมชันและวิชวลเอฟเฟกซ์ และมาตรการเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมเกม เป็นต้น สำหรับมาตรการทางภาษี (Tax Incentive) เป็นประเด็นที่ภาคเอกชนมีข้อเสนอมาหลายอุตสาหกรรม ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่าง ๆ ตามกฎหมายวินัยการเงินการคลังของรัฐ โดยจะต้องมีการหารือในรายละเอียดร่วมกันต่อไป
จาก Pain Point สู่แนวทางแก้ไขกฎหมาย
การแก้ไขกฎหมายในมาตราต่างๆ ต้องใช้เวลาและอาจจะไม่ทันใจภาคเอกชนมากนัก แต่ทางสำนักงาน ป.ย.ป. ได้พยายามอย่างเต็มที่ในการปลดล็อกปัญหาต่างๆ ที่ผู้ประกอบการหลายฝ่ายประสบพบเจอและต้องการที่จะแก้ไขที่ตัว พ.ร.บ. หรือว่ากฎกระทรวงโดยตรง ซึ่งการที่ทุกฝ่ายได้กล่าวถึง Pain Point ต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ทางสำนักงาน ป.ย.ป.รับฟังและพยายามที่จะหาทางออกให้กับทุกฝ่าย
สิ่งที่สำนักงาน ป.ย.ป.กำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือการปลดล็อกกฎหมาย แต่ยังอยู่ในขั้นดำเนินการเพราะการแก้ไขกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย และสำนักงาน ป.ย.ป.เป็นองค์กรที่ไม่ได้มีกฎหมายในความรับผิดชอบของตัวเองโดยเฉพาะ แต่เป็นการับฟังปัญหาจากเอกชนโดยตรงเพื่อให้หลายหน่วยงานที่รับผิดชอบรับทราบถึงปัญหาที่แท้จริงเพื่อนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายต่อไป
สิ่งที่ทางสำนักงาน ป.ย.ป.กำลังดำเนินการอยู่คือเรื่อง Micro Cinema ซึ่งปัญหาที่ทางโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กกำลังเผชิญอยู่ก็มีความคล้ายคลึงและเกี่ยวเนื่องไปกับผู้ผลิตงานสร้างสรรค์แขนงอื่นๆด้วย เพราะหลายฝ่ายมีความสงสัยในตัวของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร, สถานบริการ รวมถึงพื้นที่สาธารณะต่างๆ ส่วนสิ่งที่ทาง สำนักงานป.ย.ป.กำลังจะทำต่อไป ก็คือการปลดล็อกพื้นที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ผู้ประกอบการและคนทำงานสร้างสรรค์สะท้อนถึงปัญหาจะถูกนำไปเข้าสู่ที่ประชุมเพื่อให้ภาครัฐได้พิจารณาปรับปรุงและแก้ไขต่อไป
พื้นที่ของศิลปะ คือพื้นที่ของความยุติธรรมและเสรีภาพ
การสัมมนาครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของความเปลี่ยนแปลง และเป็นการเปิดโอกาสให้ภาครัฐได้รับรู้ปัญหา เพื่อสนับสนุนให้คนทำธุรกิจและผลิตงานสร้างสรรค์ด้านศิลปะแขนงต่างๆ สร้างงานหรือจัดงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายปัญหาที่เสนอมารัฐสามารถช่วยเหลือได้เลยโดยที่ไม่จำเป็นที่จะต้องแก้ไขพ.ร.บ.เลยก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นการขอวีซ่าของศิลปินที่ต้องใช้เวลาในการขอ ซึ่งอาจจะล่าช้าจนเกินไปและทำให้ศิลปินไม่สามารถเดินไปแสดงผลงานที่ต่างประเทศได้ เช่นเดียวกันกับการขอวีซ่าให้กับศิลปินต่างประเทศที่จะมาแสดงคอนเสิร์ตในไทย ที่ผู้ทำธุรกิจไม่มีอำนาจมากพอที่จะไปเร่งการขอวีซ่าให้เร็วขึ้นได้ ปัญหาตรงนี้กระทรวงการต่างประเทศอาจจะมีอำนาจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อแก้ไขปัญหาด้านนี้ได้เป็นต้น
ผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายท่านเห็นด้วยกันกับสิ่งที่คุณนัดส์ เจดีย์ ได้พูดว่า การทำงานศิลปะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกและสุนทรียศาสตร์ ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาที่แต่ละฝ่ายเผชิญหน้าอยู่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าปกติ แต่ก็ใช่ว่าปัญหาเหล่านี้จะไม่สามารถแก้ไขได้เลย ถ้าหากทุกภาคส่วนมีความเข้าใจและรับทราบปัญหาร่วมกัน
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าการสัมมนาในครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับคนทำงานสรรค์สร้างในไทยต่อไป
บทความต้นฉบับได้ที่ : ประเทศไทยมีพื้นที่ให้ ‘งานสร้างสรรค์’ แค่ไหน? ฟังเสียงสะท้อนจากผู้คนในแวดวงศิลปะ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประเทศไทยมีพื้นที่ให้ ‘งานสร้างสรรค์’ แค่ไหน? ฟังเสียงสะท้อนจากผู้คนในแวดวงศิลปะ และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทย
- Nothing Beats A Jet2Holiday! ทำไมเสียงโปรโมชั่นของสายการบินอังกฤษ ถึงกลายเป็นซาวด์ไวรัลใน TikTok
- ความยากลำบากอาจเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่เส้นชัย เรียนรู้วิธีการ ‘สู้’ ผ่าน 5 ตัวละครนักสู้
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : plus.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath