แรงมาก! "ปวิน" ซัด "แพรรี่" ลามไปถึงการศึกษา ในสถาบันสงฆ์ล้มเหลว
โดย "แพรรี่ ไพรวัลย์" เผยว่ามีรายได้ 17100 US ประมาณ 552,842 บาทไทย พร้อมเขียนข้อความว่า "ขอบคุณเจ๊มาลีกับลุงวุ้นเส้นนะคะ เดือนนี้ด่า 2 คนฉ่ำมาก" กลับเจอ "อาจารย์ปวิน" โพสต์ติงว่า อวดรายได้จากการโหมไฟชาตินิยมและความเกลียดชัง น่าจะคิดถึงหัวอกครอบครัวที่ต้องสูญเสียบ้าง
ล่าสุดดูเหมือนว่าเรื่องราวจะไม่จบลงง่ายๆ เมื่อ "อาจารย์ปวิน" โพสต์อีกว่า.. "ดิชั้นเคยคิดว่า การศึกษาในสถาบันหลักของไทยประสบความล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกองทัพ ที่ล้มเหลวทั้งในแง่ของ scholarship คือล้มเหลวในความเข้าใจถึงบทบาทที่แท้จริงของกองทัพ (ที่ต้องมี mindset ของ corporateness และ apolitical) และล้มเหลวในแง่ของการเป็นสถาบันที่ต้องส่งเสริมประชาธิปไตย เราจึงเห็นว่า แม้สำเร็จการศึกษามาแล้ว ไม่ได้ช่วยให้นายพลยุติการทำรัฐประหาร
…แต่พอมาเจอดราม่าวันนี้ ดิชั้นคิดต่อไปว่า การศึกษาในสถาบันสงฆ์ก็ล้มเหลว แม้แต่คนจบเปรียญ 9 ก็ยังไม่สามารถเข้าใจหลักธรรมอย่างแท้จริง คือไม่ใช่แค่ท่องจำคัมภีร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพระไตรปิฎก ธรรมวินัย และปรัชญาคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีแก่นสารสำคัญคือในความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ในความสงสารในทุกชีวิต และในการไม่เบียดเบียน ผู้ที่บรรลุเปรียญ 9 ย่อมต้องมีความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมเหล่านี้อย่างแตกฉาน
….ดังนั้น เมื่อบุคคลอย่างไพรวัลย์ที่เคยผ่านการศึกษาระดับสูงสุดนี้ออกมาจากร่มกาสาวพัสตร์แล้วกลับมีทัศนคติที่ส่งเสริมสงคราม เห็นการเสียชีวิตของเพื่อนมนุษย์เป็นรายได้ จึงเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับรากฐานของคำสอนอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า การศึกษาสงฆ์ที่มุ่งเน้นความรู้ในระดับสูงเช่นนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร หากไม่สามารถหล่อหลอมจิตสำนึกให้ยึดมั่นในหลักการแห่งขันติและสันติภาพได้
…ความย้อนแย้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ระบบการศึกษาสงฆ์ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวในระดับบุคคล ที่แม้จะมีความรู้ทางทฤษฎีแต่กลับไม่สามารถนำมาใช้ในการขัดเกลาจิตใจให้หลุดพ้นจากอวิชชาและโทสะได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า ความรู้ทางธรรมมิได้เท่ากับความเป็นธรรม ความสามารถในการอธิบายหลักธรรมขั้นสูงอาจอยู่คนละส่วนกับการปฏิบัติจริงในชีวิต อันเป็นแก่นแท้ที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา"
ต่อด้วย "เมื่อวาน ดิชั้นเขียนเรื่องปัญหาทางการศึกษาของสถาบันสงฆ์ไปแล้ว โดยยกไพรวัลย์เป็นกรณีตัวอย่าง วันนี้อยากชวนคุยต่อในอีก 2-3 เรื่อง ที่เกี่ยวข้องการศึกษาของพระสงฆ์ค่ะ
1. คือเรื่องความสุดโต่งและความรุนแรงในพุทธศาสนา คือแม้พุทธศาสนาจะสอนเรื่องเมตตาและอหิงสา แต่ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่า ในเวลาเดียวกัน พุทธศาสนาก็ได้ถูกตีความและนำไปใช้ในทางที่ตรงกันข้าม อาทิในช่วงสงครามเย็น พระกิตติวุฑโฒเคยพูดว่า "ฆ่ๅคอมมิวนิสต์ไม่บาป" ให้ความชอบธรรมทางศีลธรรมแก่การใช้ความรุนแรง โดยอ้างว่าการปกป้องชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์
จากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ถือเป็น "กุศล" และการสังหารผู้ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามเหล่านี้จึงไม่ถือเป็น "บาป" อย่างที่ควรจะเป็น มาถึงปี 2025 อดีตเปรียญ 9 อย่างไพรวัลย์ก็ผลิตซ้ำวาทกรรมฆ่ๅศัตรูไม่บาป จากการโพสต์เรียกร้องให้ไทยใช้เครื่องบินโจมตีกัมพูชา หรือยินดีที่ทหารกัมพูชาถูกสังหารและไปนอกคุยกับ "รากมะม่วง"
แม้วันนี้ไพรวัลย์จะเป็นฆารวาส แต่ก็ยังสามารถให้ตัวอย่างความล้มเหลวของการศึกษาในสถาบันสงฆ์ แล้วตัวไพรวัลย์เองก็ยังออกรายการต่างๆ วิจารณ์พระสงฆ์รูปอื่นๆ ในฐานะที่ตัวเองเป็นอดีตพระอยู่ เรื่องนี้ เราต้องมาตั้งคำถามว่า ความสุดโต่งในลักษณะนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำไมคนที่เคยบวชเรียนเรื่องความเมตตากลับ "เลี้ยวขวา" ทำไมพวกเค้ากลายมาเป็น "fundamentalist" หรือ "extremist" ที่กระหายสงคราม?
2. คือเรื่องความจำเป็นของพระสงฆ์ในการศึกษาวิชาการทางโลกด้วย กล่าวคือ การศึกษาของสงฆ์ที่เน้นเฉพาะทางธรรมอย่างเข้มข้น (ซึ่งก็ไม่ได้การันตีความสำเร็จในการปฏิบัติอย่างเช่นในกรณีไพรวัลย์) และขาดการเชื่อมโยงกับ "โลกวิสัย" หรือองค์ความรู้ทางโลกที่จำเป็น เช่น ประวัติศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรม ทำให้เกิดปัญหาในการทำความเข้าใจความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ตัวอย่างเช่นในกรณีไทย-กัมพูชา การทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ร่วมกันของสองชาติอย่างมีวิจารณญาณ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแนวคิดชาตินิยมแบบสุดโต่ง จะช่วยลดความตึงเครียดได้ การศึกษาด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่รอบด้านจะช่วยให้เราเห็นว่าความขัดแย้งไม่ได้มีเพียงแค่ขาวกับดำ แต่มีหลายมิติและมีความซับซ้อน ดังนั้น การบวชเรียนที่เน้นแต่ตัวอักษรและตำราทางธรรมจึงไม่เพียงพอในการสร้าง "นักปราชญ์" ที่จะสามารถนำพาสังคมให้รอดพ้นจากความขัดแย้งที่ซับซ้อนในยุคปัจจุบันได้
3. คือการใช้ความขัดแย้งในเชิงพาณิชย์ กรณีไพรวัลย์ชี้ว่า สงครามและความขัดแย้งไม่ได้สร้างความสูญเสียเสมอไป แต่ยังสามารถสร้างรายได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ "อินฟลูเอนเซอร์" จำนวนมากใช้สถานการณ์ตึงเครียดเหล่านี้เพื่อสร้างเนื้อหาที่เรียกยอดวิว ยอดไลก์ และสร้างรายได้จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย การกระทำในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึง
- การขาดความเห็นอกเห็นใจ: การที่อินฟลูสามารถอวดรายได้หรือทำเนื้อหาเชิงพาณิชย์จากความขัดแย้งได้อย่างหน้าตาเฉย แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจถึงความสูญเสียและเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริงกับผู้คนในพื้นที่
- ความเสื่อมถอยของจริยธรรมสื่อ: ในยุคที่ทุกคนสามารถเป็นผู้ผลิตสื่อได้ เส้นแบ่งระหว่างการรายงานข่าวเพื่อสร้างความตระหนักรู้กับการใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวจึงเลือนลางลงอย่างสิ้นเชิง
- การสร้างความขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์: การสร้างเนื้อหาที่ปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังอาจถูกมองว่าเป็น "วิธีที่ง่าย" ที่สุดในการดึงดูดความสนใจของผู้คน ทำให้สงครามกลายเป็น "สินค้า" ที่ขายได้ และความขัดแย้งในสังคมก็ถูกทำให้ยืดเยื้อออกไปเพื่อผลประโยชน์ทางการค้ามากกว่าการมุ่งหาทางออกร่วมกัน แต่เราไม่ควรต้องแปลกใจ ฆารวาสที่ใช้สงครามเป็นรายได้ ก็ไม่ต่างจากพระสงฆ์ที่ใช้ศาสนาในเชิงพาณิชย์ค่ะ"