ชายแดนตึงเครียด กัมพูติดตั้งระเบิด 355 ลูก ชี้ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวาหรือไม่
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์น่าสลดใจขึ้น เมื่อกำลังพลจากหน่วยร้อย ร.6021 ได้ประสบเหตุเหยียบกับระเบิด ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย หน่วยได้รีบถอนกำลังและนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์อย่างเร่งด่วน
ล่าสุดในช่วงบ่ายของวันที่ 17 ก.ค. 68 แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้หน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด (EOD) เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอย่างละเอียด เพื่อเก็บรวบรวมหลักฐานและพิสูจน์ว่าทุ่นระเบิดดังกล่าวเป็นชนิดใด มีแหล่งที่มาอย่างไร และที่สำคัญคือเป็นทุ่นระเบิดเก่าที่ตกค้าง หรือเป็นการวางใหม่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีรายงานจากหน่วยงานความมั่นคงถึงความเคลื่อนไหวของฝ่ายกัมพูชาที่น่ากังวลในช่วงที่ผ่านมา ปลายเดือน พ.ค. เกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารสองฝ่ายที่บริเวณช่องบก ต่อมาวันที่ 1 – 3 ก.ค. มีรายงานว่าทหารกัมพูชาได้เริ่มทำการติดตั้งสนามทุ่นระเบิดในพื้นที่ 355 ลูก
ต่อมา วันที่ 8 ก.ค. 68 มีข้อมูลเพิ่มว่าทหารกัมพูชาได้รับทุ่นระเบิดเพิ่มเติมอีก 106 ลูก จากนั้นอีก 2 วันต่อมา มีการติดตั้งทุ่นระเบิดจำนวน 120 ลูก จนกระทั่ง 15 ก.ค. 68 หน่วยทหารช่างของไทยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN2 จำนวน 4 ลูก บริเวณใกล้ช่องบก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า หากพิสูจน์ได้ว่ากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่จะถือเป็นการละเมิด สนธิสัญญาออตตาวา ปี 2540 (Ottawa Treaty) หรือไม่ เป็นอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อย่างร้ายแรง รวมถึงอาจละเมิดบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่ไทยและกัมพูชาทำร่วมกันไว้เมื่อปี 2543 สำหรับ สนธิสัญญาออตตาวา คือ การรณรงค์ให้ทั่วโลก ห้ามใช้ สะสม ผลิต และถ่ายโอนทุ่นระเบิดสังหาร เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อยุติการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Landmines: APLs) เนื่องจากส่งผลกระทบรุนแรงอาจต่อคร่าชีวิตพลเรือนได้ ปัจจุบันมี 164 ประเทศเข้าร่วม และทำลายทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 50 ล้านลูกทั่วโลก
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ขอให้ประชาชนทุกคนรอผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ชัดเจน และขอความร่วมมือในการติดตามข้อมูลจากหน่วยงานด้านความมั่นคงหรือช่องทางของทางราชการเป็นหลัก เพื่อป้องกันความสับสนหรือเกิดข้อมูลผิดพลาดเกิดขึ้น