‘พรรคส้ม’สู้ต่อในชั้นกมธ. หวังเปิดกว้างล้างผิด’ม.112’

ภายหลัง ‘เสียงข้างมาก’ ในสภาผู้แทนราษฎร มีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ….ซึ่งนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ, ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ….ซึ่งนายปรีดา บุญเพลิง กับคณะ เป็นผู้เสนอ และร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ….ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล กับคณะ เป็นผู้เสนอ

ที่เป็นการเห็นชอบกับทุกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จากพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเสนอมา ในชื่อ ‘สร้างเสริมสังคมสันติสุข’

แต่กลับมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ….ซึ่ง นายชัยธวัช ตุลาธน กับคณะ เป็นผู้เสนอ และร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ….ซึ่งนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน เป็นผู้เสนอ

เนื่องจาก 2 ร่างนี้มีเนื้อหาอันอาจเปิดช่องนำไปสู่การนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

ทั้งที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ ‘หัวหน้าเท้ง’ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) แบะท่าให้แล้วว่าหากเพียง ‘งดออกเสียง’ ทั้ง 2 ร่างดังกล่าวก็จะไม่ถูกตีตก “ในฐานะที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ควรมีการแสดงออกเรื่องการเป็นจุดยืนของพรรค ไม่สามารถปฏิเสธร่างของภาคประชาชนหรือร่างคนอื่นๆ ได้ โดยไม่ควรออกมาเป็นมติของวิปรัฐบาล และเปิดให้พรรคแต่ละพรรคในพรรคร่วมรัฐบาลมีเอกสิทธิ์ในการโหวต และพรรคเพื่อไทยก็มีจุดยืนไม่ไปคว่ำร่างของคนอื่น โดยเฉพาะร่างของภาคประชาชน ซึ่งมีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน”

ส่วน “เหตุผลที่จะโหวตคว่ำร่างของภาคประชาชน เป็นเพราะประเด็นหลักเรื่องการนิรโทษกรรม ม.112 หรือไม่ ตรงนี้น่าจะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สังคมรู้ดี" ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ซึ่ง นายณัฐพงษ์ ได้ย้ำว่า “ถ้าในวิปมีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจน พรรคเพื่อไทยก็มีน้ำหนักเพียงพอ ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจได้ ไม่ใช่มาอ้างว่าเสียงปริ่มน้ำ แล้วต้องยอม”

ทำให้นี่อาจเป็นจุดตัดสำคัญ ที่ส่งผลให้เกิดการแตกหักกันมากขึ้นไปอีก จาก 2 พรรคการเมืองที่พยายามเอ่ยอ้างว่า ‘ยืนอยู่ข้างประชาธิปไตย’ เมื่อ พรรคเพื่อไทยลงมติ ‘ไม่เห็นชอบ’ ให้

การลงมติครั้งนี้มีเพียงเสียงส่วนน้อยของ 6 สส.เพื่อไทย ซึ่งเป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่ร่วมผสมโรง โหวตหนุนทั้ง 2 ร่างดังกล่าว ให้พรรคประชาชน ยังพอไว้หน้าได้บ้าง แต่ไม่วายถูกกองเชียร์นอกสภาเย้ยว่า เป็น ‘6 ผู้เฒ่า’ ที่พรรคเพื่อไทยเลี้ยงไว้ เพื่อยังรักษาภาพลักษณ์ประชาธิปไตยอยู่

ถึงขั้นที่แม้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำคนเสื้อแดง ได้ถูกเสนอชื่อมาเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายในวาระ 2 แต่สังคมก็ยังไม่ให้ราคา เพราะหมดค่าความเป็นนักสู้ไป ตั้งแต่มานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลแล้ว

และการงัดตัวเลขมาอ้างว่า มติของพรรคเพื่อไทยนั้นสามารถ ‘ปลดพันธนาการ’ บุคคลได้ประมาณ 3,254 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ ประมาณ 200 ราย, กลุ่ม นปช.ประมาณ 1,150 ราย, กลุ่ม กปปส.ประมาณ 221 ราย และกลุ่มม็อบราษฎร-ม็อบทะลุแก๊สประมาณ 1,683 ราย โดยแม้จะไม่มีคดีตามมาตรา 112 ซึ่งมีผู้ถูกกล่าวหาอย่างน้อย 278 ราย ใน 311 คดี และยังถูกจองจำอยู่ 32 ราย ถึงกระนั้นก็ยังถูกมองว่า เป็นการ ‘นิรโทษกรรมแบบเลือกปฏิบัติ’ เพื่อเอื้อพวกพ้องอยู่ดี

ท่าทีเช่นนี้ยิ่งพลอยทำให้บรรดาขุนพล พรรคส้ม หยิบยกเรื่องนี้มาถล่ม อาทิ นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรค ปชน.ในฐานะหนึ่งในกรรมาธิการฯ ก็ปรามาสว่า “ไม่มีกระดูกสันหลัง” และคือการ “หันหลังให้ผู้เห็นต่างทางการเมือง” โดยเฉพาะนักโทษการเมืองคดี ม.112 ที่หลายคนเองก็เป็นผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทย พร้อมประกาศเสียงแข็งว่า จะสู้เต็มที่ในชั้นกรรมาธิการ เพื่อเปิดประตูโอกาสของการนิรโทษกรรมให้กว้างขึ้น

เนื่องจาก “รู้สึกผิดหวังที่สุดท้ายแล้ว การนิรโทษกรรมดูเป็นการเลือกปฏิบัติ หากเราพิจารณาดีๆ หากร่างของภาคประชาชนมีความชัดเจนว่า หมายรวมใครบ้าง ส่วนของพรรคประชาชน เราเปิดประตูให้กว้างที่สุด การพิจารณาว่ากรณีไหนจะได้หรือไม่ได้ ต้องไปดูในรายละเอียดของคดี หรือการออกแนวทางกำหนดเงื่อนไขบางประการ ที่อาจทำให้สามารถยอมรับกันได้มากขึ้น กล่าวคือ อยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองเมื่อในวันนั้นว่า สังคมรู้สึกอย่างไร แต่อย่างน้อยเราจะไม่กีดกันใคร เรารู้ว่าแต่ละคดียากง่ายไม่เหมือนกัน อาจต้องมีการพูดคุยสร้างความเข้าใจ แต่ด้วยความใจแคบของรัฐบาล และคิดแต่เพียงพวกพ้อง ไม่ได้สนใจการคลี่คลายปัญหา สุดท้ายจึงทำให้การนิรโทษกรรมทำได้อย่างจำกัด”

หากหันดูรายชื่อคณะกรรมาธิการฯ ในสัดส่วนพรรค ปชน. นอกเหนือจากนายรังสิมันต์แล้ว ก็ยังมีอีกหลายชื่อที่น่าสนใจ ได้แก่ น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์, น.ส.พุธิตา ชัยอนันต์ และ น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์

พร้อมด้วยนายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ 2 บุคคลภายนอก คือ ศ.ดร.โคทม อารียา นักวิชาการด้านสันติวิธีและสิทธิมนุษยชน และ ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ อัยการอาวุโส จากสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด ที่น่าจะพอมาบรรเทาไม่ให้กรรมาธิการในสัดส่วนนี้ดูก้าวร้าวรุนแรงเกินไป

ขณะที่ นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่อยู่คนละอีกฟากก็สบประมาทรอไว้แล้วว่า “ให้พรรคประชาชนนำผู้ต้องคดี ม.112 มารับผิด และขออภัยโทษ ในฐานะผู้ยั่วยุให้คนรุ่นใหม่กระทำการทะลุธง เป็นหน้าที่ของพรรคประชาชน ตอนนี้ไม่ใช่ออกมาโทษแต่คนอื่น จนไม่มองตัวเอง”

ทำให้ยังดูเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ว่าพรรค ปชน.จะแก้โจทย์อย่างไร ให้กฎหมายนิรโทษกรรมในวาระ 2 ออกมาอย่างไม่เลือกปฏิบัติ และเปิดกว้างตามที่เคยวิจารณ์คนอื่นไว้ เพราะเนื้อหาสาระที่ผ่านการปรับแก้ โดยคณะกรรมาธิการนี้ น่าจะบ่งบอกได้ว่า พรรค ปชน.สมราคาคุยหรือไม่

ล่าสุดมีรายงานแล้วว่า การประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข จะเริ่มการประชุมนัดแรกในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ เวลา 13.30 น. โดยในวาระแรกนั้นก็จะเป็นการเลือกว่า ใครจะได้รับตำแหน่งต่างๆ ในกรรมาธิการ ตั้งแต่ประธาน รองประธาน เลขานุการ โฆษก และอื่นๆ

ก็อาจจะพอทำให้เห็นทิศทางคร่าวๆ ได้ว่ากรรมาธิการนี้จะพากันเดินไปทางใด ซึ่งยังคงต้องใช้ระยะเวลาอีกพักใหญ่ ยิ่งด้วยความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย และโจทย์ของแต่ละฝ่ายที่ซับซ้อนขึ้น อาจเป็นผลให้กรรมาธิการต้องขอขยายเวลาพิจารณาออกไปเรื่อยๆ ได้อีก

ต้องมาลุ้นกันต่อว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง และเสถียรภาพของรัฐบาลอันง่อนแง่นขณะนี้ ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจะคลอดออกมาได้ทันที่จะมีการชิง ‘ยุบสภา’ ไปก่อนหรือไม่?

หรือสุดท้ายแล้วความหวังของจำนวนผู้คน ไม่ว่าจะจากกลุ่มผู้ชุมนุมใด จะกลายเป็นแค่ตัวเลขที่บรรดาพรรคการเมืองหยิบเข้ามาใช้เปลี่ยนเกม เพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง แทนที่จะเป็นผู้สนับสนุนเสียเอง?.