ถอดรหัสเรื่องฮอตตลาดหุ้น เมื่อ KTC ราคาดิ่งฟลอร์ หุ้นกลาง-เล็กถูกวางมาร์จิ้นพุ่ง
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องฮอตในตลาดหุ้น เมื่อราคาหุ้น KTC หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถูกถล่มขายออกมาอย่างหนัก จนราคารูดติด 2 ฟลอร์ จาก 34.75 บาท เหลือ 25.00 บาท
ท่ามกลางการตั้งออเดอร์รอขายอีกสูงกว่า 100 ล้านหุ้น ซึ่งในเวลาเดียวกันพบว่า มีหุ้นที่ถูกวางค้ำประกันจำนวนมากอย่าง บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) (BEC) และ บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (XPG) ถูกเทขายหนัก
จนเกิดคำถามขึ้นมาว่า หุ้นปริมาณมากเช่นนั้นถูกนำออกมาขายได้อย่างไร และเกิดอะไรขึ้นในหุ้น KTC ท่ามกลางกระแสข่าวว่า หุ้น KTC นั้นถูกนำออกมาบังคับขาย หลังจากมีนักลงทุนนำหุ้นไปวางค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น และไม่สามารถหาหลักประกันเข้าไปวางเพิ่มเติมได้
ก่อนที่สถานการณ์จะคลี่คลาย เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. มีรายการเข้าซื้อขายผ่าน Biglot จำนวนมาก และเริ่มทำให้สถานการณ์กลับมาปกติ
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ “ชักปลั๊ก”
ย้อนกลับไป เหตุการณ์ KTC เป็นหนึ่งในหุ้นที่ถูกวางค้ำประกันในบัญชีมาร์จิ้น เป็นสิ่งที่พูดถึงมาโดยตลอด โดยในหุ้น KTC พบว่า มีจำนวนหุ้นที่ถูกวางเป็นหลักประกันอยู่ที่ 420 ล้านหุ้น คิดเป็น 16% ของหุ้นทั้งหมด ซึ่งหากคิดเป็นมูลค่าเวลานั้นนับหมื่นล้านบาท
ซึ่งระเบิดลูกใหญ่เช่นนี้เป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยออกเกณฑ์ลด Ceiling & Floor ลงจาก 30% เหลือ 15% ทำให้เกิดกระแสข่าวลือว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกเกณฑ์ดังกล่าวมาเพื่อรองรับวิกฤติ KTC และป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นไทย
อัสสเดช คงสิริ กรรมการ และ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การลด Ceiling & Floor ที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ก่อนเริ่ม 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา เกิดจากสถานการณ์วิกฤติการสู้รบในตะวันออกกลาง เพราะต้องการให้นักลงทุนได้มีเวลาในการวิเคราะห์ข่าวสารเรื่องดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวกับ KTC และไม่ได้มีการหารือเรื่องนี้ในการประชุม
ทั้งนี้ ปัญหา KTC หากติดตามจะพบว่า เกิดประเด็นปัญหาขึ้นในช่วงวันจันทร์ (23 มิ.ย.) หลังจากที่ใช้มาตรการไปแล้ว ดังนั้นจึงมองว่าเป็นผลพลอยได้มากกว่า
หุ้นกลาง-เล็ก ถูกวางค้ำประกันพุ่ง
แต่หากพิจารณาในภาพรวมของการนำหุ้นมาวางเป็นหลักประกัน จะพบว่า หุ้นขนาดกลางและเล็กนั้นถูกนำมาวางค้ำประกันเพิ่มขึ้น
โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ชี้ว่า ปัจจุบันสถิติการนำหุ้นมาใช้วางเป็นหลักประกันมีมูลค่าอยู่ที่ 1.97 แสนล้านบาท ลดลงจากปลายปี 2567 ที่ 2.41 แสนล้านบาท โดยมีมูลค่าหนี้อยู่ที่ 6.2 หมื่นล้านบาท ลดลงจากสิ้นปีที่ 7.3 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ หากพิจารณาในรายละเอียดหลักประกันจะพบข้อมูลที่น่าสนใจ โดยพบว่าหุ้นที่ถูกวางเป็นหลักประกันอยู่ในกลุ่มหุ้นเล็กมากขึ้น
- หุ้นกลุ่ม SET50 มีมูลค่า 75,094 ล้านบาท
- กลุ่ม non-SET100 มีมูลค่า 69,082 ล้านบาท
- กลุ่ม SET50-SET100 มีมูลค่า 41,259 ล้านบาท
- หุ้นในตลาด mai มีมูลค่า 7,526 ล้านบาท
ซึ่งประเด็นดังกล่าวเป็นสิ่งที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำลังจับตาอยู่
โบรกเกอร์แข็งแกร่งรับมือได้
สุรศักดิ์ ฤทธิ์ทองพิทักษ์ ผู้ช่วยเลขาธิการ สายธุรกิจตัวกลางและตลาด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ชี้ว่า ภาพของการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ หรือ มาร์จิ้นโลน นั้นมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป เราพบว่ามีหุ้นขนาดกลางและเล็กถูกนำมาวางเป็นหุ้นค้ำประกันมากขึ้น
“หุ้นกลางและเล็กถูกนำมาวางเป็นหุ้นค้ำประกันมากขึ้น ซึ่งต่างจากอดีตที่จะเป็นหุ้นใหญ่ในกลุ่ม SET50 ซึ่งส่วนหนึ่งเรามองว่าเกิดจากการให้บริการของโบรกเกอร์ที่เปลี่ยนไป และเป็นสิ่งที่เรากำลังจับตา”
ทั้งนี้ หากดูในความเข้มของระบบ ก.ล.ต. มองว่า อุตสาหกรรมยังคงเข้มแข็งมาก เห็นได้จากมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถูกนำมาวางค้ำประกันยังอยู่ในระดับ 3 เท่าของมูลหนี้ เงินกองทุนของโบรกเกอร์ยังแข็งแกร่ง แต่ในทางเดียวกัน ก็จะมีระบบของการตรวจสอบการวางหุ้นเป็นหลักประกันของอุตสาหกรรมโบรกเกอร์ ซึ่งคาดว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวจะลงนามเริ่มต้นในต้นปีหน้าจะช่วยให้การเช็กและตรวจสอบทำได้ดีมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยพื้นฐาน KTC ไม่เปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม แม้ KTC จะเจอวิบากกรรม ราคาหุ้นถล่มอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายกับนักลงทุนรายย่อยอย่างมาก แต่ในด้านปัจจัยพื้นฐาน นักวิเคราะห์ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อหุ้น KTC
ด้านบล. อินโนเวสท์เอกซ์ รายงานว่า ราคาหุ้นปรับตัวลดลงแรงเมื่อไม่นานนี้ ปัจจัยหลักๆ เกิดจากแรงบังคับขายเท่านั้น ซึ่งในด้านปัจจัยพื้นฐานของ KTC ประเมินว่า กำไรไตรมาสที่ 2 และ ปี 2568 จะทรงตัว โดยอิงกับคุณภาพสินทรัพย์ที่ทรงตัว, NIM ที่ลดลง, สินเชื่อที่เติบโตเล็กน้อย, non-NII ที่เติบโตในอัตราชะลอตัวลง และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ เนื่องจากราคาหุ้น KTC ปรับตัวลดลงมาแล้ว 49% YTD เราจึงปรับคำแนะนำสำหรับ KTC ขึ้นจาก “UNDERPERFORM” สู่ “NEUTRAL” เราปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 34 บาท มาอยู่ที่ 29 บาท โดยอิงกับ PBV 1.7 เท่า หรือ P/E 10 เท่า สำหรับปี 2568 เนื่องจากเราปรับ PBV เป้าหมายลดลง เพื่อสะท้อน ROE ที่มีแนวโน้มลดลง
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ถอดรหัสเรื่องฮอตตลาดหุ้น เมื่อ KTC ราคาดิ่งฟลอร์ หุ้นกลาง-เล็กถูกวางมาร์จิ้นพุ่ง
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ถอดรหัสเรื่องฮอตตลาดหุ้น เมื่อ KTC ราคาดิ่งฟลอร์ หุ้นกลาง-เล็กถูกวางมาร์จิ้นพุ่ง
- การ์ดใบละแสน ขายไม่ออกก็แค่เก็บไว้ เทรนด์ลงทุนของคน Gen Z เก็งกำไรจากอาร์ตทอย - รองเท้ารุ่นแรร์
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath