ค่าเงินบาท อ่อน-แข็ง ใครได้ ใครเสีย ? ผันผวนทั้งสัปดาห์ สะเทือนกระเป๋าทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
หลายคนอาจคุ้นหูกับคำว่า “เงินบาทแข็ง” หรือ “เงินบาทอ่อน” แต่รู้ไหมว่า ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ ส่งผลโดยตรงกับทั้งค่าครองชีพ การเดินทาง และกระเป๋าสตางค์ของเรามากกว่าที่คิด
ค่าเงินนั้นเปรียบเสมือน “อำนาจซื้อ” ตัวอย่างคือ เมื่อเงินบาทแข็งค่า หมายความว่า คนไทยจะใช้เงินบาทน้อยลงในการแลกเงินต่างประเทศ ส่งผลดีต่อผู้นำเข้าและคนที่วางแผนจะไปเที่ยวหรือซื้อของจากต่างประเทศ
เช่น เมื่อวานเงิน 30 บาท สามารถแลกได้ 1 ดอลลาร์ แต่วันนี้ 28 บาท สามารถแลกได้ 1 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหากเงินบาทแข็ง เราจะมีอำนาจซื้อด้วยสกุลเงินดอลลาร์ได้มากขึ้น
ในขณะที่เงินบาทอ่อนค่า หมายถึง เมื่อวาน 30 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์ แต่วันนี้อัตราแลกเปลี่ยนถูกปรับให้ค่าเงินเป็น 32 บาท แลกได้ 1 ดอลลาร์
หรือก็คือ เราต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเงินต่างประเทศ ทำให้ต้นทุนนำเข้าสูงขึ้น ราคาสินค้านำเข้าอาจปรับตัวขึ้น แต่ผู้ส่งออกจะได้เปรียบเพราะได้เงินต่างประเทศกลับมาแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
ค่าเงินแบบนี้ ใครได้ ใครเสีย?
เงินแต่ละสกุลมีลักษณะเหมือนสินค้าที่ราคาขึ้นลงจากกลไกตลาด หรือกำหนดจากอุปสงค์และอุปทานเงินตราของแต่ละประเทศ ซึ่งการที่ค่าเงินแข็ง/อ่อนนั้น มีทั้งคนที่ได้และเสียผลประโยชน์อยู่ด้วยกัน เช่น
เมื่อเงินบาทแข็งค่า
คนที่ได้ประโยชน์ คือ
- ผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
จ่ายเงินเท่าเดิม ได้ของเพิ่มขึ้น หรือนำเข้าสินค้าเท่าเดิมในราคาที่ถูกลง
- คนไทยที่ไปต่างประเทศ
นักท่องเที่ยวหรือนักศึกษาชาวไทยที่ถือเงินสกุลบาท จะสามารถแลกเงินได้มากขึ้น
- บุคคลทั่วไป
ได้ซื้อสินค้านำเข้าในราคาที่ถูกลงเนื่องจากต้นทุนต่ำ
คนที่เสียผลประโยชน์ คือ
- ผู้ส่งออก
ส่งของออกต่างประเทศในปริมาณเท่าเดิม แต่แลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
- คนไทยที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ
เอาค่าจ้างแลกเป็นเงินบาทได้น้อยลง
ในทางกลับกัน เมื่อเงินบาทอ่อนค่า
ผู้ที่ได้ประโยชน์ คือ
- ผู้ส่งออก
ส่งของออกด้วยปริมาณเท่าเดิม แต่แลกกลับมาเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
- คนไทยที่ทำงานอยู่ต่างประเทศ
เอาค่าจ้างแลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น
ผู้ที่เสียผลประโยชน์ คือ
- ผู้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
จ่ายเงินเท่าเดิม ได้ของน้อยลง หรือนำเข้าสินค้าในราคาแพงขึ้น
- คนไทยที่ไปต่างประเทศ
นักท่องเที่ยวหรือนักศึกษาชาวไทยที่ถือเงินสกุลบาท จะสามารถแลกเงินได้น้อยลง
- บุคคลทั่วไป
ได้ซื้อสินค้านำเข้าในราคาที่แพงขึ้นเนื่องจากการนำเข้าแพง
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความผันผวนของค่าเงินบาทส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจและการเงินของคนไทย ทั้งในแง่โอกาสและความเสี่ยง
ดังนั้นเราจึงต้องจับตาและรู้ทิศทางของค่าเงินเพื่อให้ปรับตัวตามทันสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เพื่อวางแผนการเงินของตัวเองให้มั่นคง
สถานการณ์ค่าเงินบาทในปัจจุบัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีความผันผวนท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 33.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 1 เดือน สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่แข็งค่าขึ้นจากความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน
โดยมีการคาดว่าในสัปดาห์นี้ (30 มิ.ย. - 4 ก.ค.) กรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่ 32.30-33.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยมีรายงานเศรษฐกิจและการเงินเดือนพ.ค. ของไทย, ปัจจัยการเมืองในประเทศ, ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติ, ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก รวมไปถึงการเจรจาเรื่องนโยบายภาษีกับทรัมป์ และสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ที่ต้องจับตามองว่าจะส่งผลอย่างไรกับค่าเงินบาทในอนาคต
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, ธนาคารแห่งประเทศไทย
อ่านข่าวการเงินส่วนบุคคล และการวางแผนการเงิน กับ Thairath Money เพื่อให้คุณ "การเงินดีชีวิตดีได้ที่ https://www.thairath.co.th/money/personal_finance
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ค่าเงินบาท อ่อน-แข็ง ใครได้ ใครเสีย ? ผันผวนทั้งสัปดาห์ สะเทือนกระเป๋าทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง
- ค่าเงินบาท อ่อน-แข็ง ใครได้ ใครเสีย ? ผันผวนทั้งสัปดาห์ สะเทือนกระเป๋าทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
- แนะผู้ส่งออกปรับตัวรับความผันผวน ฟันธง!ค่าเงินบาทแข็งโป๊ก
- ดอลลาร์อ่อน บาทแข็ง เพิ่มขึ้นเกือบ 5% จากปีก่อน SCB คาด Q3 แตะ 33 บาท/ดอลลาร์
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : Thairath Money
- LINE Official : Thairath