‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ สะดุดไฟสะอาด รัฐไร้นโยบาย-ตปท.ซบเวียดนาม
เอกชนโวยรัฐไร้นโยบายหนุนไฟฟ้าสะอาด ชี้ต่างชาติขน 6 แสนล้านลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทย ต้องการใช้ไฟสีเขียวถึง 5,000 เมกะวัตต์ ร้องมาแล้ว 3-4 ปีไม่คืบ ส่วนแผน PDP เดี้ยง ถึงปัจจุบันยังไม่ปรับปรุง กำหนดต้องเพิ่มไฟฟ้าหมุนเวียนให้ได้ 51% ภายในปี 2580 แต่ผลิตจริงได้แค่ 26% หวั่นไทยเสียโอกาส นักลงทุนต่างประเทศหนีไปเวียดนาม EEC กระทบมากสุด เร่งบอร์ดปลดล็อก TPA ทำแซนด์บอกซ์ เปิดทางเอกชนผลิตไฟสะอาดใช้เอง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน 2568) มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 1,880 โครงการ เพิ่มขึ้น 38% มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 1,058,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 138% มาจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง คือ ดิจิทัล มากที่สุด รองลงมาเป็นอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และชิ้นส่วน การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เกษตรและแปรรูปอาหาร ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ การแพทย์ และการท่องเที่ยว
ดาต้าเซ็นเตอร์ 6 แสนล้าน
สำหรับโครงการที่น่าสนใจที่ขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความโดดเด่นของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาคในด้านยานยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และดิจิทัล เช่น โครงการลงทุน Data Center ขนาดใหญ่ สำหรับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,369 โครงการ เพิ่มขึ้น 59% เงินลงทุนรวม 737,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% ซึ่งเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เกิดจากการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่จากสิงคโปร์ ฮ่องกง สหราชอาณาจักร จีน และญี่ปุ่น การลงทุนครั้งนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค รองรับอุตสาหกรรมใหม่ เช่น AI และ IOT ทั้งในประเทศและสามารถเชื่อมต่อกับตลาดในภูมิภาคอาเซียน
โดยครึ่งปีแรก มีคำขอรับการส่งเสริมจากโครงการ Data Center รวม 28 โครงการ มูลค่า 521,000 ล้านบาท ในขณะที่ทั้งปี 2567 มี Data Center ขอรับส่งเสริม 10 โครงการ มูลค่า 107,844 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ส่วนใหญ่เข้ามาลงทุนเพื่อรองรับกลุ่ม Hyperscale ที่ได้ประกาศลงทุนในไทยก่อนหน้านี้ ทั้ง AWS, Google, Microsoft และ TikTok อย่างไรก็ตาม Data Center ขนาดใหญ่ที่ได้เริ่มลงทุนและเปิดให้บริการแล้ว มีหลายราย เช่น Amazon Web Service (AWS), Telehouse, NTT Global Data Center, One Asia Data Center, STT GDC, True IDC, GSA Data Center เป็นต้น
เอกชนห่วงไฟฟ้าสีเขียวไม่พอ
นายบุตรา บุญเลี้ยง Head of ESG Strategy and Integration บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แวลูเชนของอุตสาหกรรมเคมิคอลล์ใหญ่ และมีการแข่งขันที่สูง บวกกับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) แล้ว ถ้าบริษัทไม่มีไฟฟ้าสะอาด ผู้ประกอบการจะส่งออกสินค้าไม่ได้ มันกลายเป็นเรื่องที่เราแข่งขันไม่ได้ ทำธุรกิจลำบาก ต่างชาติจะไปเวียดนามที่รัฐบาลมีการสนับสนุนเรื่อง PPA ไฟฟ้าสะอาด 100% ขณะที่ไทยยังไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง ทำให้ประเทศไทยจะเสียโอกาสอย่างมาก โดยจะเสียให้กับประเทศที่พร้อมจะดึงนักลงทุนไปทุกเมื่อ นี่คือความเสี่ยง ดังนั้น รัฐควรมีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายไฟฟ้าสีเขียวป้อนอุตสาหกรรม
นายอัครินทร์ ประเทืองสิทธิ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า New S-curve ที่เข้ามาทั้งรายเก่าและรายใหม่ต่างต้องการไฟฟ้าสีเขียวทั้งนั้น เพราะปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนเลือกจะลงทุน คือ จะต้องมีไฟฟ้าสะอาดและราคาที่แข่งขันได้ ตอนนี้รัฐไม่มีนโยบายที่ส่งเสริมกันจริง ๆ เอกชนต้องลงทุนทำโซลาร์เอง แต่ก็ยังไม่พอ เมื่อรัฐไม่ชัดเจน ไม่รวดเร็ว จะทำให้ไทยเสียโอกาสไปเลย หากรัฐบาลไม่มีการตอบรับ ก็เชื่อว่านักลงทุนคงต้องถอนการลงทุนออกไป
“ตอนนี้เริ่มมีเสียงเรียกร้องแล้วว่า ไทยพอจะทำให้ได้หรือไม่ เพราะนักลงทุนเหล่านี้มีเป้าหมายว่าจะต้องลดคาร์บอนให้ได้ในปีไหน เท่าไหร่ เขาจึงขอไทม์ไลน์ที่ชัดเจน และราคาจะต้องดีด้วย เพราะมันมีผลต่อการลงทุน การไปต่อของเขา”
ร้องมา 3-4 ปีแล้วแต่ยังไม่คืบ
นายดิษฐา นนทิวรวงษ์ Head of Sustainable Project Development และ Head of S&A Engineering-Special Project บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มเซ็นทรัลมีบริษัทในเครือที่ตั้งใน EEC 5 แห่ง มีความจำเป็นที่ต้องใช้ไฟฟ้าสีเขียว และเรามีที่ดินจำนวนมาก ก็ช่วยตัวเองด้วยการลงทุนเอง แต่ขณะนี้กฎหมายยังไม่เปิดให้ ทั้งนี้ เอกชนยังแสดงความเห็นว่า แผน PDP ของไทยชะงักไป ในขณะที่ พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ. Climate Change) ซึ่งคาดหมายว่าจะมีผลบังคับใช้ปี 2569 ซึ่งถือว่าไม่สอดคล้องกัน ถ้านโยบายมา ทุกอย่างมันก็เดิน ข้างบนแค่พูดว่าทำได้ ตรงกลางพร้อม ข้างล่างจะได้ทำ ซึ่งเอกชนเรียกร้องมา 3-4 ปีแล้ว ฝากความหวัง EEC ถ้าปลดล็อกกฎหมายได้ ถ้าได้ TPA (Third Party Access หรือผู้ผลิตไฟฟ้าสามารถใช้ประโยชน์จากระบบส่งไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ได้) มันจะปลดล็อกทุกอย่างเช่นกัน
กกพ.เลื่อนซื้อไฟอีก 2,180 เม็ก
ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกประกาศปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) สำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบ Feed-in Tariff (FiT) ปี 2565-2573 ในกลุ่มที่ไม่มีต้นทุนเชื้อเพลิง (No Fuel Cost) การตัดสินใจดังกล่าวสอดคล้องกับมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง โดย กพช.ได้มอบหมายให้ กกพ. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เจรจากับผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิขายไฟฟ้ากลุ่ม 2,180 เมกะวัตต์ เพื่อปรับลดอัตราการรับซื้อไฟฟ้าลง
ปัจจุบันผลิตได้แค่หมื่นเม็ก
ทั้งนี้ ในร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 หรือ PDP 2024 ได้กำหนดเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 34,851 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็น 51% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมด แบ่งเป็น พลังงานแสงอาทิตย์ 24,412 เมกะวัตต์, พลังงานลม 5,345 เมกะวัตต์, ชีวมวล 1,045 เมกะวัตต์, ก๊าซชีวภาพ 936 เมกะวัตต์, พลังงานแสงอาทิตย์แบบทุ่นลอยน้ำ 2,681 เมกะวัตต์, ขยะอุตสาหกรรม 12 เมกะวัตต์, ขยะชุมชน 300 เมกะวัตต์, พลังน้ำขนาดเล็ก 99 เมกะวัตต์ และความร้อนใต้พิภพ 21 เมกะวัตต์ ขณะที่ ณ กรกฎาคม 2567 ไทยมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดเพียง 10,010 เมกะวัตต์ คิดเป็น 26% ของปริมาณไฟฟ้าทั้งหมด
ชี้ไทยช้ากว่า ปท.เพื่อนบ้าน
นางสาวอารีพร อัศวินพงศ์พันธ์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวในงานสัมมนา “เมื่อรัฐช้า ทางรอดของภาคอุตสาหกรรมในวันที่ไฟสะอาดไม่เพียงพอ” (สายส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดในพื้นที่ EEC) ว่า นักลงทุนโดยเฉพาะกลุ่ม Data Center มีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าสะอาดเพิ่มขึ้น 9 เท่า โดยในปี 2579 หรืออีก 11 ปีข้างหน้า จะมีความต้องการไฟฟ้าถึง 5,000 เมกะวัตต์ โดยส่วนใหญ่จะเป็นไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งรัฐต้องเปิดเสรีตลาดไฟฟ้า (Third-Party Access : TPA) และความไม่ชัดเจนของนโยบายด้านพลังงานเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุน
เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ไทยถือว่าล่าช้ากว่าอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่เวียดนามตั้งเป้าสัดส่วนพลังงานสะอาด 51% ในปี 2030 ซึ่งเร็วกว่าของไทยที่กำหนดไว้ปี 2037 (2580) ขณะที่สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และลาว ต่างประกาศเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2050 (2593) แต่ไทยยังคงตั้งเป้าที่ปี 2065 (2608) ซึ่งความแตกต่างนี้อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการซัพพลายเชนสีเขียว และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของตลาดโลก
นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการสูญเสียการลงทุนโดยตรง (FDI) จากกลุ่มลูกค้าเดิม ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐ โดยตั้งแต่ปี 2018-2024 (2561-2567) ประเทศไทยได้รับ FDI รวมมูลค่า 2.15 ล้านล้านบาท มาจากญี่ปุ่น สิงคโปร์และสหรัฐ ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 50% บริษัทจากประเทศเหล่านี้มีเป้าหมายและความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการตัดสินใจลงทุน
ดาต้าเซ็นเตอร์ใช้ไฟ 5,400 เม็ก
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการเชิญชวนบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาตั้ง Data Center ในไทย โดยแนวโน้มการลงทุน Data Center ในไทย รวมเม็ดเงินลงทุน 618,384 ล้านบาท มีกลุ่มบริษัทที่ประกาศแผนการลงทุนชัดเจน เช่น กลุ่มผู้ใช้บริการในประเทศ เช่น Siam AI, ADVANC, TRUE, FPT คาดการณ์กำลังให้บริการส่วนเพิ่มมากกว่า 240 เมกะวัตต์, กลุ่มผู้ให้บริการที่ไม่ใช่ผู้ประกอบการกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ที่ทยอยขอบีโอไอในปี 2024 (2567) เพื่อทยอยลงทุนระยะถัดไป เช่น Ctrl’s, Next DC, Evolution, Supernap, Telehouse, One Asia คาดการณ์กำลังให้บริการส่วนเพิ่มมากกว่า 130 เมกะวัตต์ กลุ่มบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ เช่น Microsoft Google และ Tiktok ประเมินรายละ 100 เมกะวัตต์ และ Haoyang 300 เมกะวัตต์ กลุ่มบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ เช่น Microsoft Google และ TikTok ประเมินรายละ 100 เมกะวัตต์ และ Haoyang 300 เมกะวัตต์ คาดการณ์กำลังให้บริการส่วนเพิ่มมากกว่า 500 เมกะวัตต์
มีการคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้ไฟฟ้าของ Data Center จะเพิ่มขึ้นจากระดับ 0 เมกะวัตต์ในปี 2024 (พ.ศ. 2567) เป็นมากกว่า 5,400 เมกะวัตต์ภายในปี 2036 (2579) ซึ่งภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC สามารถหาทางออก ด้วยการใช้ พ.ร.บ.เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. EEC) มาเป็นกลไกในการอนุมัติ อนุญาตการสร้างโครงข่ายพลังงานสะอาดใหม่ เพื่อจัดส่งไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง เพื่อแก้ไขปัญหาให้ภาคธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ และอุดช่องว่างของนโยบายระดับชาติที่ยังไม่มีความชัดเจนและล่าช้า
อีอีซีชี้ติดปัญหาเรื่องระบบส่ง
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ. หรือ EEC) กล่าวว่า ในพื้นที่ EEC จะถูกกำหนดเป็น Sandbox ในการทำ PPA ไฟฟ้าสีเขียว ที่ถูกประกาศเป็นเขตส่งเสริมพิเศษ รวมถึงการดึงการลงทุนและซัพพอร์ตสิทธิประโยชน์ เพื่อสนับสนุนการลงทุนของกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งจะเป็นการรองรับอุตสาหกรรม S-curve อย่าง Data Center
นายสรัล มารู รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย สกพอ. (EEC) กล่าวว่า คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดนโยบายส่งให้ 3 การไฟฟ้า และให้ กกพ.ช่วยกัน รวมถึงการออกใบอนุญาตโรงไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด ซึ่ง EEC มีแนวคิดตรงกันมาตั้งแต่ปี 2563 แต่ติดขัดเรื่องการเชื่อมเข้าระบบส่ง การทำไฟป้อนอุตสาหกรรม ซึ่งปัญหาดังกล่าวจะเสนอต่อบอร์ด EEC รับทราบ เพื่อให้ใช้อำนาจที่เป็นเครื่องมือทางกฎหมายของ EEC สามารถปลดล็อกบางขั้นตอนได้
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ สะดุดไฟสะอาด รัฐไร้นโยบาย-ตปท.ซบเวียดนาม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net