เจาะลึก 'Taxonomy 2.0' เข็มทิศใหม่การลงทุนสีเขียวของไทย
ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการลงทุนอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนา Thailand Taxonomy 2.0 ซึ่งเป็นระบบการจัดหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ระบบนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือชี้นำการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการปลดล็อกเงินทุนเพื่อกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจในประเทศไทย
ดร. ชาริกา ชานันทพิพัฒน์ จากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า Thailand Taxonomy ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น "ภาษาเดียวกัน" สำหรับการลงทุนในโครงการและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ครอบคลุม 6 ภาคส่วนหลัก โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของข้อตกลงปารีส ทั้งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Adaptation) และการจัดหาเงินทุนเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) Taxonomy จะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในการลงทุนอย่างยั่งยืน
กระบวนการพัฒนาที่ครอบคลุมและโปร่งใส
การพัฒนา Thailand Taxonomy Phase 2 เป็นผลลัพธ์จากความร่วมมืออย่างกว้างขวางจากหลากหลายภาคส่วน โครงการเริ่มต้นขึ้นในเดือนธันวาคม 2566 และดำเนินงานอย่างเข้มข้นตลอดปี 2567 จนถึงต้นปี 2568 ผ่านกระบวนการที่โปร่งใสและมีส่วนร่วม
Timeline สำคัญ
- ก.พ. 67: เริ่มดำเนินการโครงการ
- เม.ย./พ.ค. 67: ร่างแรก
- พ.ค. - ก.ย. 67: ปรึกษาหารือกับคณะทำงาน (WG) และผู้เชี่ยวชาญ (TEG) กว่า 30 ครั้ง
- ต.ค. 67 - ม.ค. 68: เปิดรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ (เกือบ 300 รายการ)
- เม.ย. - พ.ค. 68: ร่างสุดท้าย
- มิ.ย. - ก.ค. 68: เสริมสร้างขีดความสามารถ (Capacity Building)
กระบวนการนี้มีการระบุและสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใน 4 ภาคส่วนหลัก รวมถึงการจัดประชุมทางเทคนิคและการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะและสร้างฉันทามติจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พลังขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน
ความสำเร็จของ Thailand Taxonomy Phase 2 เกิดจากความร่วมมืออันแข็งแกร่งของภาคส่วนต่างๆ นำโดยคณะกรรมการกำกับดูแล (Steering Committee) ซึ่งประกอบด้วย กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (DCCE), ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ให้ทุนหลักอย่าง International Finance Corporation (IFC), Deutsche Gesellschaft für Internationale Zusammenarbeit (GIZ) และ Asian Development Bank (ADB) รวมถึงทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และที่สำคัญคือการมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 65 องค์กร เช่น สมาคมธนาคารไทย, สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงภาคประชาสังคมอย่าง "แนวร่วมการเงินเพื่อความยั่งยืนประเทศไทย" ซึ่งสะท้อนถึงการรวมพลังเพื่อเป้าหมายร่วมกัน
หลักการพัฒนา น่าเชื่อถือ ทำงานร่วมกันได้ และใช้งานง่าย
Thailand Taxonomy พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ 8 หลักการสำคัญ โดยยึดตามหลัก G20 และมุ่งเน้นที่ความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และความง่ายในการใช้งาน
- อิงหลักวิทยาศาสตร์ (Science-based): เกณฑ์ที่กำหนดเป็นไปตามหลักการทางวิทยาศาสตร์
- ใช้ประโยชน์จากงานที่มีอยู่ (Leverage existing work): อ้างอิงจาก Taxonomy สากล เช่น EU Taxonomy
- พิจารณาบริบทไทย (Consider Thai Context): ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและอสังหาริมทรัพย์
- โปร่งใส (Clear and transparent): เกณฑ์ชัดเจน ตรวจสอบย้อนกลับได้
- ใช้งานได้จริง (Usable): ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย
- ครอบคลุม (Multi-purpose): ไม่เพียงตอบโจทย์การลดก๊าซเรือนกระจก แต่ยังครอบคลุมวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
- เป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่าน (Transition fairly): มีเกณฑ์สำหรับกิจกรรมสีเหลือง (Amber) เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน
- สามารถนำไปใช้ในท้องถิ่นได้ (Locally applicable): สอดคล้องกับสถานการณ์และข้อมูลในประเทศ
องค์ประกอบหลักของ Taxonomy ประกอบด้วย
- มีส่วนช่วยอย่างมีนัยสำคัญ (Substantially contribute): กิจกรรมต้องมีส่วนช่วยอย่างน้อย 1 ใน 6 วัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม (เช่น การลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ)
- ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมีนัยสำคัญ (Do No Significant Harm - DNSH): กิจกรรมต้องไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เหลือ
- มาตรการป้องกันทางสังคมขั้นต่ำ (Minimum Social Safeguards - MSS): ผู้ดำเนินกิจกรรมต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและนโยบายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงหลักการและอนุสัญญาที่ยอมรับในระดับสากล
ระบบจำแนกประเภท เพื่อการตัดสินใจลงทุน
Thailand Taxonomy ใช้ระบบสัญญาณไฟจราจรที่เข้าใจง่ายในการจำแนกกิจกรรม
- สีเขียว (Green): กิจกรรมที่ก่อให้เกิดคุณูปการชัดเจนและมีนัยสำคัญต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
- สีเหลือง/อำพัน (Amber): กิจกรรมที่สามารถพัฒนาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและมีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่าน โดยมี "sunset date" หรือวันสิ้นสุดสำหรับเกณฑ์สีเหลือง (กำหนดไว้ที่ปี 2040) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่กิจกรรมสีเขียว
- สีแดง (Red): กิจกรรมที่ก่อให้เกิดอันตรายอย่างมีนัยสำคัญต่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม และต้องค่อยๆ ยุติลง (กิจกรรมสีแดงไม่ได้หมายความว่าผิดกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมืออ้างอิงสำหรับการตัดสินใจลงทุน)
ประโยชน์และการใช้งาน กุญแจสำคัญสู่การเงินสีเขียว
Thailand Taxonomy เป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่ไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับทุกความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ โดยมีประโยชน์หลักๆ ดังนี้
- เข้าถึงเงินทุน: ช่วยให้กิจกรรมสีเขียวเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สนับสนุนกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายขึ้น
- การบริหารจัดการภายใน: องค์กรสามารถใช้ Taxonomy ในการตัดสินใจลงทุนในอนาคตและปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อลด "สินทรัพย์สีแดง"
- การเปิดเผยข้อมูล (Disclosure): ช่วยในการจัดหมวดหมู่และประมวลผลข้อมูลสำหรับการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน
- ชี้นำการพัฒนาข้อบังคับและมาตรการจูงใจ: ใช้เป็นเกณฑ์ในการออกแบบนโยบาย กฎหมาย หรือกองทุนที่สนับสนุนการเปลี่ยนผ่าน
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในภาคปฏิบัติที่น่าสนใจ ได้แก่ บริษัท BEM ที่ใช้ Taxonomy Phase 1 ในการออก Green Bond, Thai Union ที่ใช้ Taxonomy Phase 2 ในภาคเกษตรกรรม (Aquaculture) เพื่อจัดโครงสร้าง Blue Loan, และบริษัท B.Grimm ที่ใช้ Taxonomy Phase 1 เพื่อจัดประเภทรายได้และรายจ่ายลงทุน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการมุ่งหน้าสู่กิจกรรมสีเขียวมากขึ้น
ในอนาคต Taxonomy คาดว่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการคัดกรองเงินทุนสำหรับกองทุนภูมิอากาศภายใต้กฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Climate Change Act) ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้น ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน Thailand Taxonomy 2.0 จึงเป็นเสมือนเข็มทิศสำคัญที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง