“ศบ.ทก.”งัดยาแรง ตอบโต้“เขมร”
“ทบ.” เคลียร์พื้นที่พบอีกทุ่นระเบิดสภาพใหม่ 2 ทุ่น พื้นที่ช่องบก ใกล้จุดบึ้มเดิม ด้าน“ศบ.ทก.”เตรียมประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษร “พร้อมแจ้ง “ปธ.ออตตาวา” ปมกัมพูชาละเมิดกม. ระหว่างประเทศ ส่วน “รมว.กต.” เตรียมแสดงจุดยืนไทยต่อนานาประเทศ ขณะที่ “ณัฐพล” ยันทุ่นระเบิดของใหม่ ซัด “ฮุน มาเนต” ไม่จริงใจ หลังบอกจะใช้กลไกเจบีซี แต่ขนคนมากดดัน “ภูมิธรรม”ย้ำซัด “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลง ยันต้องอดทน เลี่ยงความรุนแรง ไม่นำไปสู่สงคราม
เมื่อเวลา 12.05 น. วันที่ 21 ก.ค. 68 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) แถลงผลการประชุม ศบ.ทก. ถึงการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.ค. เป็นผลมาจากที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารีได้ปฏิบัติการลาดตระเวนเพื่อคุ้มครองการเสริมสร้างเส้นทางทางยุทธวิธีจากฐานมรกตไปยังเนิน 481 ซึ่งถือเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย ทำให้พลทหารเหยียบกับระเบิด ตามที่ปรากฏเป็นข่าว ยืนยันว่า ทางการไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการจัดหน่วยผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดเข้าไปพิสูจน์ทราบ โดยในวันที่ 18 ก.ค.หน่วยดังกล่าวได้สำรวจและพิสูจน์ทราบว่า ในพื้นที่เกิดเหตุอยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการ 130 เมตร โดยจุดวางทุ่นระเบิดอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนของฝ่ายไทยที่เป็นการปฏิบัติตามปกติ ซึ่งการลาดตระเวนทางฝ่ายไทยมีการดำเนินการตามปกติ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถือเป็นเหตุสุดวิสัย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า หน่วยพิสูจน์ทราบได้พิสูจน์ทราบว่า หลุมระเบิดที่เกิดเหตุนั้นมีความกว้าง 69 ซม.ลึก 23 ซม. หน่วยชุดพิสูจน์ทราบได้พบเศษวัตถุระเบิดชนิด PMN 2 และพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 2 จุด จากการพิสูจน์ทราบ โดยจุดแรกอยู่ห่างจากต้นพญาสัตบรรณราว 50 เมตร ใกล้คูเลตที่ทางทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างกัน ตรวจพบอีก 3 ทุ่น ส่วนจุดที่ 2 พบเพิ่มอีก 5 ทุ่น ห่างจากจุดแรกประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดในการพิสูจน์ทราบ เจอทั้งหมด 7 ทุ่น ซึ่งจากการตรวจพบทุ่นระเบิดยืนยันว่า ทั้งหมดเป็นระเบิดใช่ใหม่ PMN 2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจนบริเวณด้านข้างทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่มีอยู่สารบบยุทโธปกรณ์ ขณะเดียวกัน หลักฐานที่ชัดเจน ยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ขึ้นปกคลุม และพบร่องรอยของการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิด
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ในปี 65 กองทัพได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่บริเวณช่องบก โดยตรวจไม่พบทุ่นระเบิด PMN 2 แต่อย่างใด ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่า ระเบิดชนิดนี้เป็นระเบิดใหม่ และประเมินได้ว่า PMN 2 ที่ตรวจพบเป็นการวางหลังจากเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68 ที่ผ่านมา และวันที่ 20 ก.ค.68 ตรวจพบทุ่นระเบิดอีก 2 จุด โดยเป็นระเบิดชนิด PMN 2 เช่นเดียวกัน ห่างจากหลุมระเบิดที่เกิดเหตุ ประมาณ 20-30 เซนติเมตร ชี้ชัดว่า มีการวางใหม่เพิ่มเติมอีก โดยเป้าหมายเพื่อสังหารบุคคลและเป็นการละเมิดอนุสัญญาออสตาวาอย่างชัดเจน เป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทย
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าว กองทัพได้ยกระดับมาตรการการปฏิบัติที่เข้มข้นขึ้น โดยหน่วยในพื้นที่ได้รับคำสั่งให้เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตระเวน และมีการเตรียมความพร้อมสูงขึ้นตามหลักการปฏิบัติของกฎการใช้กำลังของกองทัพ ซึ่งศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ โดยกองทัพไทยได้ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวอย่างชัดเจน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา และจะยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติม นอกจากนี้ กองทัพยังมีวาระที่จะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงผู้แทนกองทัพจากประเทศต่างๆ มารับฟังคำชี้แจงเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆ นี้
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ส่วนกรณีประสาทตาเมือนธม ทางฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ร่วมหารือเพื่อหามาตรการในการบริหารจัดการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์กระทบกระทั่งระหว่างนักท่องเที่ยวทั้งสองฝ่าย โดยมีการกำหนดมาตรการ หากมีปัญหาจากนักท่องเที่ยวเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาติใด ให้เจ้าหน้าที่ชุดประสานงานของชาตินั้นเป็นผู้จัดการ โดยจะเชิญตัวนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่ ส่วนกรณีที่มีปัญหาในพื้นที่ ให้ชุดประสานงานในพื้นที่ซึ่งแต่ละฝ่ายจัดกำลัง 7 นาย เป็นผู้ดำเนินการในการแก้ไขปัญหา ไม่มีการเรียกชุดกำลังเสริม หรือชุดอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องมาเพิ่มเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า ซึ่งเป็นการลดการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่าย รวมไปถึงขอให้ทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการคัดกรองนักท่องเที่ยวของแต่ละฝ่ายก่อนที่จะขึ้นมาเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ขอยืนยันว่า มาตรการทั้ง 3 มาตรการมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการดำเนินการ พร้อมกำหนดมาตรการเพิ่มเติม จัดชุดอาสาสมัครและทหารพรานหญิงมาอำนวยความสะดวกเพิ่มเติม
พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า ทาง ศบ.ทก.ยืนยันที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับทราบ ซึ่งในเรื่องของการหาข้อเท็จจริงต่างๆ อาจจะต้องใช้เวลาตรวจสอบ ต้องขอขอบคุณประชาชนที่มีความอดทนอดกลั้นมาโดยตลอด เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจาก ศบ.ทก. โดยท้ายที่สุดแล้วเป้าหมายของเราคือ สันติภาพของภูมิภาค ทั้งไทยและกัมพูชาเป็นประเทศเพื่อนบ้านกัน เราไม่สามารถแยกออกจากกันได้ อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเจรจาน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งเราพยายามกดดันไปทางกัมพูชามาสู่การเจรจาแบบทวิภาคีร่วมกันให้ได้เร็วที่สุด สิ่งสำคัญทางศบ.ทก. ตระหนักดีว่า ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง เราจะต้องแยกออกจากปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับประชาชน ทั้งตามแนวชายแดนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย เราเล็งเห็นว่า เขาได้รับผลกระทบ ฉะนั้น มาตรการต่างๆ ที่ ศบ.ทก.ออกมาต้องไตร่ตรองอย่างละเอียด เพราะฉะนั้น จะมีผลกระทบกับประชาชนอย่างรุนแรง ตนขอวิงวอนและฝากไปยังประชาชนให้ดำรงด้วยความอดทนอดกลั้น เรากำลังดำเนินการแก้ไขปัญหานี้อย่างโดยเร็ว
นางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กรณีกำลังพลของกองทัพบก 3 นาย ที่ลาดตระเวนปกติในดินแดนของไทยบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี และประสบเหตุเหยียบกับระเบิดเมื่อวันที่ 16 ก.ค. ส่งผลให้มีทหาร 1 นายได้รับบาดเจ็บรุนแรงนั้น โดยที่ประชุม ศบ.ทก.ได้หารือและได้รับรายงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่า ทุ่นระเบิดสังหารที่ตรวจพบไม่มีการใช้และไม่ได้อยู่ในคลังอาวุธของไทย เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ เมื่อประกอบกับประมวลข้อมูลและจากหลักฐานอื่นๆ จากฝ่ายความมั่นคง ก็นำไปสู่ข้อสรุปได้ว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชาซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 20 ก.ค. และขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ
นางมาระตี กล่าวว่า อีกทั้งเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อนุสัญญาออสตาวาอย่างชัดเจน ได้แก่ 1.การมีอยู่ซึ่งทุ่นระเบิดนั้น 2.การวาง ซึ่งเป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิด ดังนั้น เพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการ ดังต่อไปนี้ คือ 1.กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงอย่างเป็นทางการกรณีที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังฝ่ายกัมพูชา เนื่องจากเป็นการละเมิดอธิปไตย หลักกฎหมายระหว่างประเทศและมนุษยธรรม และพันธะกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล และยังส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บถึงขั้นทุพพลภาพ ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการตามกระบวนการของอนุสัญญาออสตาวา ตามพันธะกรณีของไทย ที่เป็นรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ที่จะต้องแจ้งการละเมิดอนุสัญญาต่อประธานการประชุมรัฐภาคี ซึ่งปัจจุบันประธานที่อยู่ในวาระคือ ญี่ปุ่น เพื่อนำไปสู่การรับผิดชอบโดยกัมพูชา
นางมาระตี กล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะเดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ให้มิตรประเทศและองค์การต่างๆ รับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีมีบทบาทสำคัญต่อภารกิจด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกัมพูชา เช่นญี่ปุ่น นอร์เวย์ รวมถึงองค์การต่างๆ ที่มีบทบาทในเวทีอนุสัญญาออสตาวา และจะมีการจัดการบรรยายสรุปชี้แจงให้คณะทูตประจำประเทศไทยได้รับทราบ และในช่วงสัปดาห์นี้ รมว.การต่างประเทศ ที่อยู่ระหว่างการเดินทางเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือทางการเมืองระดับสูงว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก โดยจะได้พบหารือกับผู้แทนระดับสูงจากประเทศต่างๆ จะใช้โอกาสนี้ยืนยันจุดยืนของไทยต่อประชาคมโลก โดยเฉพาะหลักการของไทยที่มุ่งเน้นการแก้ไขแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี การเจรจาภายใต้กรอบทวิภาคี ดังที่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศที่ระบุไว้แล้ว ไทยขอเรียกร้องฝ่ายกัมพูชาให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ตามแนวชายแดน ตามที่นายกฯของทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้แล้วภายในกรอบทวิภาคี ทั้งนี้ เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของพื้นที่ และของประชาชนทั้งสองฝ่าย
นางมาระตี กล่าวว่า แม้ขณะนี้เราดำเนินการเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด ซึ่งจะมีมิติด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีและการดำเนินการตามกลไก พันธะสัญญาระหว่างประเทศไทย แต่ขอเน้นย้ำว่า ไทยยังยืนยันจุดยืนที่จะเจรจาทวิภาคีกับฝ่ายกัมพูชา เพื่อร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ในเวลานี้ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยเฉพาะเจบีซี อาร์บีซี และจีบีซี ทั้งนี้ ฝ่ายไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ฝ่ายกัมพูชาจะให้ความร่วมมือในกรอบเหล่านี้อย่างจริงจังและสุจริตใจ โดยเริ่มจากการเข้าร่วมการประชุมเจบีซีครั้งต่อไปที่มีกำหนดจัดช่วงเดือน ก.ย.นี้ เราเชื่อมั่นว่า จะช่วยคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียด อีกทั้งไทยพร้อมที่จะใช้กรอบทวิภาคีอื่นๆ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงของทั้งสองประเทศ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนของทั้งสองประเทศ
นางมาระตี กล่าวว่า ในช่วงที่สถานการณ์มีความละเอียดอ่อน การสื่อสารในสังคมโดยเฉพาะในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยบุคคลระดับสูงของฝ่ายกัมพูชาที่บางครั้งอาจย้อนแย้งกันเอง และย้อนแย้งทั้งคำพูดและการกระทำ ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิด สร้างความแตกแยกได้โดยไม่ตั้งใจ จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลก่อนนำขึ้นพื้นที่สาธารณะ ขอย้ำว่าการแถลงข้อมูลและการชี้แจงการดำเนินการฝ่ายไทย เราเน้นการสื่อสารผ่านช่องทางทางการที่มีความรอบคอบและมีความถูกต้องของข้อมูลบนพื้นฐานของกฎหมาย เราไม่ได้ดำเนินการเพียงเพื่อให้เกิดความรวดเร็วแต่ไม่ได้สนใจความจริงหรือข้อเท็จจริง หรือเพียงเพื่อให้ได้รับความนิยมตามกระแสสังคมโดยปราศจากความถูกต้องตามหลักการ จึงขอให้สื่อมวลชนและประชาชนตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับอย่างรอบคอบ และเชื่อมั่นในเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกหน่วยงานทั้งรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงที่กำลังทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่มีวันหยุด เพื่อให้เกิดความสามัคคีระหว่างคนของเรากันเอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในยามนี้ รวมถึงการติดตามข้อมูลข่าวสารจากช่องทางทางการและแหล่งที่เชื่อถือได้
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา(ศบ.ทก.)ให้สัมภาษณ์ก่อนเป็นประธาน ในการประชุม ศบ.ทก.ถึงกรณีที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดระหว่างลาดตระเวน ในพื้นที่ช่องบกว่า ขอเวลาสัก 3 วันได้ เพราะการตรวจค้นได้เพิ่มอีก 7-8 ทุ่น และได้ทราบชนิดของทุ่นระเบิดด้วยว่าเป็นพีเอ็มเอ็น-2 ซึ่งเราไม่เคยมีใช้และเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลของรัสเซีย จึงเป็นสิ่งยืนยันว่า ที่วางระเบิดเป็นของประเทศอื่น ไม่ใช่ของเราแน่นอน
“อีกประการหนึ่ง คือเราต้องตอบสังคมโลกให้ได้ว่า ที่มาวาง คือ ของใหม่ ซึ่งมีวิธีดู 2 อย่างคือ 1.จุดที่วาง ถ้าใหม่ การกลบร่องรอยจะเป็นของใหม่ แต่หากเป็นของเก่า หญ้าหรือวัชพืชจะขึ้น แต่จุดที่เราตรวจพบ เป็นลักษณะเอาเศษวัชพืช เศษใบไม้มาวางคลุมไว้ และ2.ทุ่นระเบิดที่เราตรวจพบ ถ้าทุ่นเก่า ส่วนที่เป็นโลหะจะเป็นสนิม ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจพบ และกู้ขึ้นมาโลหะ ยังใหม่อยู่ ดังนั้น ถ้าเราทำงานอย่างนี้ จะไม่มีใครมาเถียงเราได้ แค่นี้หลักฐานเราก็เพียงพอแล้ว เพราะหากทำสำนวนไม่รอบคอบ ศาลไม่รับฟ้อง สำนวนก็ตก หรือทำไปแล้ว กัมพูชาสามารถโต้กลับมาได้ เราก็จะเสียความน่าเชื่อถือไป ตรงนี้คือ สิ่งที่ตนห่วงใยมากกว่า จึงขอให้เข้าใจหน่วยงานภาครัฐ ตอนนี้ตนเหมือนหมาวิ่งกัดเห็บที่หางตัวเอง คือ พยายามทำให้ดีที่สุด”
ผู้สื่อข่าวถามว่า การยื่นฟ้องคณะกรรมการออตตาวา ยื่นในนามรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า เป็นการดำเนินการในนามกระทรวงการต่างประเทศ แต่อยู่ภายใต้การอำนวยการของ ศบ.ทก. หลังจากที่ประชุม ศบ.ทก.เห็นชอบ กระทรวงการต่างประเทศก็จะดำเนินการในการทำหนังสือประท้วง แนวทางที่คุยกันไว้คือ นอกจากทำหนังสือประท้วงไปยังออตตาวาแล้ว เรายังประท้วงไปยังกัมพูชาด้วย ซึ่งรายละเอียดขอยังไม่เปิดเผย
เมื่อถามว่า หากผลการยื่นร้องต่อคณะกรรมการออตตาวา แล้วชนะ ผลที่จะเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ อะไร พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ในบทลงโทษนั้นไม่ชัดเจน ต้องขึ้นอยู่กับทางออตตาวา แต่ยืนยันว่า ปัจจุบันทางกัมพูชาผิดอยู่ 2 เรื่องแน่ๆ คือ 1.การวางทุ่นระเบิดใหม่ ซึ่งสมาชิกที่มีพันธะกรณีกับอนุสัญญาออตตาวาจะต้องไม่ทำแบบนี้ 2.ยังมีของใหม่อยู่ในครอบครอง ซึ่งสมาชิกของอนุสัญญาจะต้องทำลายทุ่นระเบิด ไม่ว่าจะทำลายหมดทันที หรือค่อยทำลาย อย่างไรต้องมีขั้นตอนที่ชัดเจนว่าจะทำลายหมดเมื่อไหร่ แต่ถ้ายังทำลายไม่หมด และเอามาใช้ก็ผิดแล้ว ที่จริงแล้วตนไม่อยากจะพูดออกสื่อก่อน เพราะหากพูดไปอาจทำให้ทางกัมพูชา รู้ว่าตนคิดอะไรอยู่ แต่ต้องเรียนว่าขณะนี้ตนคงต้องยอม อาจจะเสีย เปรียบบ้าง คิดว่าเพื่อความได้เปรียบจะไม่บอกอะไร แต่สังคมเป็นอย่างนี้ สื่อมวลชนต้องทำหน้าที่หาข้อมูลตนก็เห็นใจสื่อ จึงต้องให้ข้อมูล และตนทำงานยากขึ้น จะทำงานง่ายๆ สบายๆ ไม่ได้แล้ว
“พูดเลยว่าเขาผิด 2 เรื่อง และจะส่งข้อมูลไปยังประเทศที่เป็นสปอนเซอร์ของกัมพูชา ที่สนับสนุนเงิน ในพันธะกรณีที่เกี่ยวกับออตตาวาว่า สนับสนุนเงินเขาไป ปัจจุบันเขาเป็นแบบนี้ ก็แล้วแต่เขาจะพิจารณา ผมถึงได้บอกว่าการที่จะบอกเขา สำนวนเราต้องแน่น ชัดเจนมีภาพให้เห็น มีหลักฐาน ไม่ใช่เพียงแค่มีคนบอกว่าใหม่ เราเคยกวาดล้างมาแล้วก็ไม่น่าจะมีของเก่า หากส่งสำนวนไปแค่นี้ สื่อคิดว่าสำนวนจะตกหรือไม่”
พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ล่าสุดที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกแถลงการณ์ระบุว่า กัมพูชาจะใช้กระบวนการเจบีซี แต่ขณะเดียวกัน ก็ใช้มวลชนมากดดันที่ปราสาทตาเมือนธม อันนี้ถือเป็นการแสดงความไม่จริงใจ เป็นเรื่องที่ตนจะหารือในที่ประชุม ศบ.ทก.ในวันเดียวกันนี้
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า การที่นำมวลชนมา ทางรัฐบาลกัมพูชาจะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ ถึงบอกไม่รู้ก็ต้องแก้ไขและทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่ใช่ปล่อยให้ประชาชนกัมพูชาทำแบบนี้ เราไม่อยากให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความเครียดๆ ซึ่งขณะนี้ ประชาชนตามจังหวัดชายแดนเดือดร้อนกันมาก และมากดดันตนว่าเมื่อไหร่ปัญหาจะจบสักที ดังนั้น ตนต้องรักษาบรรยากาศ ไม่ให้อ่อนแอหรือเข้มแข็งเกินไป
เมื่อถามว่า จะมีการจัดระเบียบปราสาทตาเมือนธมอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า มีการจัดระเบียบแล้ว ซึ่งตนได้พูดคุยกับรัฐบาลว่า วันนี้ทหารต้องมีความเข้มแข็งเด็ดขาด แต่ในสถานการณ์แบบนี้ การเข้มแข็งเด็ดขาดอาจทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน จนเกิดการใช้อาวุธได้ ขณะนี้ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้คุยกับผู้บัญชาการหน่วยฝั่งกัมพูชาว่าทหารที่ขึ้นมาอยู่ในพื้นที่จะมีเพียงฝั่งละ 7 คนเท่านั้น จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบที่มีคนมาเป็นร้อยอีก เพราะภาพจะออกมาไม่ดีทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ทหารที่รับผิดชอบจะต้องเป็นคนนำประชาชนที่มีท่าทียั่วยุออกจากพื้นที่ ถือเป็นข้อตกลง ทั้งนี้ โชคดีว่าฝ่ายกัมพูชาสามารถควบคุมได้เรียบร้อย แต่หากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็มีการเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยืนยันว่าจะเป็นไปตามขั้นตอน
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย กล่าวถึงมาตรการตอบโต้กัมพูชา จากเหตุการณ์ทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดน จะมีวางแนวทางอย่างไรบ้าง ว่า จุดยืนของรัฐบาลได้พูดไปหลายครั้งแล้วว่า เราเน้นยึดมั่นในอธิปไตยของประเทศ เราจะไม่มีการยินยอมให้ละเมิดอธิปไตยของเรา ในขณะเดียวกันเราก็จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงที่ไปสู่สงคราม ถ้าเลี่ยงได้เราก็พยายามทำ แต่ถ้ามีความจำเป็นและเข้ามากระทบเรื่องอธิปไตยของเรา เราคงไม่ยอม ซึ่งเมื่อวานนี้ในเรื่องของระเบิด ทางกองทัพภาคที่ 2 และ ศบ.ทก.ได้ชี้แจงแล้ว และจากการติดตามข่าวได้มีการจัดประชาชนมา 23 คันรถ โดยได้รับรายงานมาตั้งที่มีการเคลื่อนไหวแล้ว และเราได้มีการป้องกันไปเพื่อไม่ให้ประเด็นเบี่ยงเบน และจะนำไปสู่ปัญหาระหว่างประเทศ ทั้งนี้ เรื่องระเบิดเราได้มีการตรวจสอบแล้วชัดเจนว่าเป็นระเบิดใหม่ที่มีการผลิตมาวางไว้ในช่วงเร็วๆ นี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงของสหประชาชาติ ซึ่งเราก็รวบรวมและส่งเรื่องไปให้กระทรวงการต่างประเทศเอาเรื่องเข้าสู่กระบวนการประท้วง ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนนี้ ซึ่งถ้าหากมากไปกว่านี้ก็จะสู่ขั้นตอนการถอนทูตกลับมาตามเงื่อนไขกติกา
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นที่ตาเมือนธม ตอนนี้เราต้องระมัดระวัง ซึ่งตนได้คุยกับฝ่ายความมั่นคงแล้วก็ยืนยันในหลักการเดิม และพยายามแก้ไขเรื่องนี้ ซึ่งตนได้ประสานกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจเรตำรวจ ซึ่งเราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการให้องค์กรระหว่างประเทศ และประชาคมโลกได้เห็นว่าเราไม่ใช่พวกที่อยากจะใช้กำลังรุนแรงกับประชาชน เราจึงใช้หน่วยปราบจราจล จากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 กำลังพล 2 กองร้อย ในการขึ้นไปสนับสนุน โดยเอาเครื่องมือปราบจราจลจากกรุงเทพฯ ขึ้นไปเสริมเป็นแนวหลัง ส่วนทหารก็ยังทำหน้าที่ป้องกันอธิปไตยอยู่เหมือนเดิม ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นถ้าเราจะเรียกตำรวจต้องใช้เวลามาก จึงเตรียมกำลังปราบจราจลไว้พร้อมที่จะปฏิบัติกับประชาชนกัมพูชา ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นไปตามหลักสากล และใช้ทหารพราน 1 ในการรองรับกำลังเสริม
"จุดยืนของเราคือพยายามที่จะยืนยันในสิ่งที่พูดไปแล้วในเรื่องอธิปไตยของประเทศ และพยายามแก้ไขปัญหาเรื่องความรุนแรง เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขให้เขาเอาไปกล่าวหา และดึงคดีเข้าไปสู่ศาลโลก เราก็ไมอยากให้เขาไปสู่จุดนั้น เพราะเราชัดเจนไปหลายครั้งแล้วว่าเราไม่ยอมรับ" นายภูมิธรรม กล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ตนได้พูดกับกำลังพลไปแล้วว่าขอให้เราอดทน เพราะถ้าเกิดสงครามเราไม่ได้กลัว แต่อยากให้มันเกิดความสูญเสียที่ใหญ่หลวง เพราะเดี๋ยวนี้เขารบกันด้วยอาวุธที่ทันสมัย ไม่ได้ถือดาบวิ่งชนกัน แต่ใช้วิธีระยะไกล
เมื่อถามว่า ประเด็นที่จะนำไปสู่การเจรจาทวิภาคี หรือเวทีเจบีซี เป็นอย่างไรบ้าง นายภูมิธรรม กล่าวว่า มันเป็นเรื่องของสองฝ่าย เราก็ยังยืนอยู่ในมาตรการนี้ แต่ขณะนี้เขาก็ใช้มาตรการที่จะยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์ เพราะเขาก็หวังว่าจะเป็นทางออกแบบนั้น เราก็ต้องยืนยันในแนวทางของเรา ยังไงเราก็ยังต้องรักษาพื้นที่ของเรา ขณะนี้ก็ยังเป็นของเรา ก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ต้องอดทนอดกลั้น และไม่ให้ใครรุกล้ำเข้ามาในอธิปไตยของเรา
ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 6021 เหยียบกับระเบิดระหว่างการลาดตระเวนในพื้นที่ชายแดนช่องบก จ.อุบลราชธานี จนได้รับบาดเจ็บ 3 นาย เมื่อวันที่ 16 ก.ค.68 ล่าสุดวานนี้ (20 ก.ค.68) กองกำลังสุรนารี และหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) เข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยผลจากการตรวจพื้นที่พบการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ชนิด PMN2 ในสภาพใหม่พร้อมทำงาน จำนวน 2 ทุ่น ห่างจากหลุมระเบิดเดิม 30 เซนติเมตร โดยปัจจุบันเจ้าหน้าที่ หน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรมที่ 3 (นปท.3) ได้ทำการรื้อถอนทุ่นระเบิดที่ตรวจพบใหม่ออกแล้วทั้ง 2 ทุ่น
“การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการรุกล้ำอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน และแสดงถึงเจตนาในการลอบทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหารไทย ทั้งเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาออตตาวาว่าด้วยการห้ามใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ที่ทางไทยและกัมพูชาล้วนได้ให้สัตยาบัน เข้าเป็นประเทศภาคีในอนุสัญญาดังกล่าวด้วย กองทัพบกจึงขอเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวนี้ต่อสาธารณะ พร้อมขอความร่วมมือประเทศสมาชิกอาเซียนรวมถึงนานาประเทศ ร่วมประณามการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรงของประเทศกัมพูชา นอกจากนี้กรมข่าวทหารบกจะได้มีการเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย มารับทราบข้อเท็จจริงในกรณีเหตุการณ์ดังกล่าวในวันพรุ่งนี้อีกด้วย”