เปิดใจ "ชนินทธ์" ปมขัดแย้งพี่น้อง สู่การยึดอำนาจดุสิตธานี
จากประเด็นความขัดแย้งภายในตระกูล 'โทณวณิก' ที่กำลังร้อนระอุ นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดใจเป็นครั้งแรกถึงสาเหตุความบาดหมางกับน้องสาวทั้งสองคน คือ สินี เธียรประสิทธิ์ และ สุนงค์ สาลีรัฐวิภาค รวมถึงการพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นของกลุ่มเซ็นทรัล และความสำเร็จของโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส ที่เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญของความขัดแย้ง
ต้นตอความขัดแย้ง: การเปลี่ยนแปลงอำนาจในครอบครัว
ความบาดหมางของพี่น้องในตระกูลโทณวณิกไม่ได้เริ่มต้นจากการไม่อนุมัติงบการเงินของบริษัทฯ แต่เกิดขึ้นหลังจากการถึงแก่กรรมของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นมารดา โดยคุณชนินทธ์ระบุว่า ท่านผู้หญิงชนัตถ์ได้มอบหมายให้เขาเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการมานานกว่า 30 ปี แต่หลังจากท่านไม่อยู่ น้องสาวทั้งสองคนได้ร่วมกันโหวตเพื่อเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี
จากเดิมที่ชนินทธ์มีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับน้องคนใดคนหนึ่ง เป็นการกำหนดให้กรรมการสองในสามคนต้องลงนามร่วมกัน และต่อมาได้ปลดเขาออกจากตำแหน่งกรรมการในบริษัทมรดกทั้งหมด ซึ่งชนินทธ์เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิของตน
เขายังกล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการตกลงแบ่งทรัพย์สินในกองมรดกเป็นสามส่วน โดยให้เขาได้รับหุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด แต่ภายหลังน้องสาวทั้งสองได้เปลี่ยนใจ ไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเขาเชื่อว่าสาเหตุมาจากการที่โครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส มียอดขายดีเกินคาด หลังจากสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
ความพยายามของคนนอกและอนาคตของดุสิตธานี
ชนินทธ์มองว่าการกระทำของน้องสาวทั้งสองได้ขยายผลมาสู่บริษัท ดุสิตธานี โดยเริ่มจากการไม่อนุมัติงบการเงิน และล่าสุดคือการเสนอวาระให้ถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งกรรมการ
โดยมีการเสนอชื่อกรรมการใหม่ที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมา และส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย
เขายังเปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของดุสิตธานีหลายครั้ง ครั้งหนึ่งถึงขั้นซื้อหุ้นไว้ถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบจนเขาต้องเข้าไปเจรจาเพื่อขอให้ขายหุ้นออก และไม่ส่งคนมาเป็นกรรมการ เพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
นอกจากนี้ ชนินทธ์ยังทราบมาว่า กลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสอง ได้มีการหารือกันเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม โดยเขามองว่านี่คือความพยายามที่จะเข้าควบคุมอำนาจการบริหารกิจการดุสิตธานี และอาจส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส ที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับบริษัท
ความสำเร็จของ "ดุสิต เรสซิเดนเซส" และจุดยืนในการปกป้ององค์กร
แม้จะมีข้อกล่าวหาเรื่องผลประกอบการที่ขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูง ชนินทธ์ยืนยันว่าการขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท และการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้บริษัทได้ก้าวผ่านช่วงที่ยากลำบากที่สุดมาแล้ว โดยเฉพาะความสำเร็จของโครงการ ดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นโครงการห้องชุดที่มียอดขายไปแล้วกว่า 92% และกำลังจะรับรู้รายได้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า ซึ่งจะช่วยปลดภาระหนี้สินและสร้างกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ชนินทธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า การออกมาพูดในวันนี้ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อปกป้องดุสิตธานี ซึ่งเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ผู้ก่อตั้ง ได้ยึดถือหลัก "Business with Honor" หรือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ และยึดประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ เขายืนยันว่าจะไม่ทิ้งดุสิตธานี และจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อปกป้องไม่ให้บริษัทถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม เพื่อรักษาอนาคตที่สดใสขององค์กรให้คงอยู่ต่อไป
แถลงการณ์ชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน)
สวัสดีครับ และขอบคุณสื่อมวลชนทุกท่านที่สละเวลามาในวันนี้
หลายท่านคงได้เห็นข่าวว่า บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ได้เสนอวาระให้ถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการ ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของ บมจ.ดุสิตธานี ที่จะถึงในเดือนหน้านี้ วันนี้ผมจึงขอใช้โอกาสนี้ พูดตรง ๆ ต่อสาธารณะ เพื่อให้ทุกคนได้รับฟังข้อเท็จจริงจากปากของผมเอง
จุดเริ่มต้นของปัญหา
เรื่องนี้ไม่ได้เริ่มจากความวุ่นวายของการประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 32/2568 ที่ผ่านมาทั้งสองครั้ง และการไม่อนุมัติงบการเงินประจำปี 2567 ของ บมจ. ดุสิตธานี แต่จุดเริ่มต้นของปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากที่คุณแม่ ท่านผู้หญิง ชนัตถ์ ปิยะอุย สิ้น
เนื่องจากท่านผู้หญิงฯ ได้มอบหมายให้ผมเป็นเสาหลักในการดูแลกิจการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานี และธุรกิจอื่นของครอบครัวเป็นเวลากว่า 30 ปี ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา อำนาจกรรมการของบริษัทภายใต้การดูแลของท่านผู้หญิงฯ คือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับผม หรือ ท่านผู้หญิงฯ ลงนามร่วมกับคุณสินี เธียรประสิทธิ์ โดยเมื่อท่านผู้หญิงฯ ไม่อยู่แล้ว ผมคือผู้ลงนามหลัก ที่ต้องลงนามร่วมกับคุณสินี หรือผมลงนามร่วมกับน้องคนเล็ก
ต่อมา น้องทั้งสองคนของผมได้ร่วมกันใช้เสียงโหวตเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการเดิมที่คุณแม่กำหนดไว้ เพื่อแก้ไขอำนาจกรรมการ โดยไม่ฟังเสียงของผม โดยจากที่ผมมีอำนาจหลักในการลงนามร่วมกับใครคนใดคนหนึ่ง เปลี่ยนให้เป็นกรรมการสองในสามลงนามร่วมกัน และหลังจากนั้น น้องๆ ก็ร่วมกันปลดผมออกจากการเป็นกรรมการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวมถึงการปลดผมออกจากการเป็นกรรมการทุกบริษัทในกองมรดก ทั้งที่ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดการมรดก ซึ่งการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม ผมจึงจำเป็นต้องใช้สิทธิตามกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิของผม และขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง
ต่อมาในช่วงโควิด เราทั้งสามคนมีการตกลงที่จะแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) โดยทุกฝ่ายตกลงให้ผมได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัทดังกล่าว และให้นำทรัพย์สินอื่นๆ มาชดเชยกันให้เป็นธรรมและเท่าเทียมกันสำหรับทุกฝ่าย แต่ในภายหลัง ทั้งสองคนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้งสอง น่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิด หลังจากโควิดจบลง
ผลกระทบที่ลุกลามมาถึงดุสิตธานี
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เคยออกมาพูดเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว และยังหวังว่าการฟ้องร้องต่างๆ ของผมที่เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายจะนำไปสู่การไกล่เกลี่ย และประนีประนอม แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องออกมาพูด เพราะการกระทำแบบเดียวกันได้ขยายมาถึงบมจ. ดุสิตธานี
ก่อนหน้านี้ พวกเขาใช้อำนาจผ่านบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่อนุมัติงบการเงิน ทั้งที่งบการเงินไม่ได้มีปัญหา และล่าสุดยังพยายามถอดถอนผมออกจากตำแหน่งกรรมการในดุสิตธานี เพื่อแต่งตั้งบุคคลที่มีความเชื่อมโยงกับคนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมอำนาจบริหาร ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อ บมจ. ดุสิตธานี แต่ยังเป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามายึดกิจการที่ครอบครัวสร้างมาอีกด้วย นอกจากนี้ ผมเห็นว่าผู้ที่จะต้องเสียหายไปด้วยก็คือ ผู้ถือหุ้นรายย่อยที่อยู่ในฐานะที่ไม่สามารถตอบโต้ หรือทำอะไรได้เลย
การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการและความพยายาม Take Over
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ เพราะ
มีการเสนอกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับกลุ่มเซ็นทรัล
การเปลี่ยนกรรมการที่มีอำนาจจากคนในครอบครัวไปสู่คนนอก ที่ไม่เคยบริหารและไม่รู้จักดุสิตธานีอย่างแท้จริงมาก่อน โดย 2 ใน 3 สามารถลงนามแทนบริษัท เป็นการเปิดทางให้คนนอกเข้าควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมาได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีกรรมการเดิมลงนามเลยก็สามารถผูกพันดุสิตธานีได้
และที่ผ่านมา ยังมีความพยายามผลักดันให้ผมแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ. ดุสิตธานีออกเป็นสามส่วน เพื่อขายต่อให้คนนอก ทั้งๆ ที่ข้อบังคับของบริษัท ชนัตถ์และลูก ระบุไว้ว่า ไม่ให้ขายหุ้นของชนัตถ์และลูก ให้แก่คนนอกครอบครัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ เท่ากับเปิดประตูให้คนนอกเข้ามาครอบครองกิจการที่เคยเป็นของครอบครัวสร้างมาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง
ความพยายามในการแทรกแซง
กลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.ดุสิตธานีหลายครั้ง ครั้งหนึ่งเคยซื้อหุ้นดุสิตธานี จนถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้เราทราบ ทั้งที่เป็นพันธมิตรและคู่สัญญาในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จนผมต้องไปเจรจา เพื่อขอให้เขาขายหุ้นออกครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้กลุ่มเซ็นทรัลส่งคนมานั่งเป็นกรรมการ เพราะธุรกิจเรามีความทับซ้อนกัน เช่น ธุรกิจสายโรงแรมก็มีการแข่งขันกันโดยตรง และยังมีธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอาหารเหมือนกัน ด้วยเกรงว่าจะเกิดปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์
และต่อมาผมได้ทราบมาจากหลายช่องทางและเข้าใจว่า ทางกลุ่มเซ็นทรัลและบริษัท ชนัตถ์และลูก ภายใต้การบริหารของน้องสาวทั้งสองของผม ได้มีการหารือกันหลายครั้ง เพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ผมเข้าใจว่าการหารือกันระหว่างทั้งสองฝ่ายอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเข้าควบคุมอำนาจบริหารกิจการดุสิตธานี ซึ่งผมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส และยังอาจมีประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ เนื่องจากความทับซ้อนของธุรกิจ และที่สำคัญ ณ ปัจจุบัน โครงการนี้ สามารถขายไปได้แล้วกว่า 92% เพราะผู้ซื้อเชื่อมั่นในชื่อเสียงและการบริหารงานอย่างมีคุณภาพ และการไม่เอาเปรียบผู้ซื้อของดุสิตธานี แต่ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อ และอาจจะส่งผลกระทบต่อการโอนห้องชุด ที่จะเริ่มในไม่กี่เดือนข้างหน้า และกระทบต่อความเชื่อมั่นในโครงการทั้งหมด
เจตนารมณ์การก่อตั้ง
ท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดนี้ ผมอยากให้ทุกคนย้อนกลับไปมองว่า ดุสิตธานีถือกำเนิดขึ้นมาเพื่ออะไร
ท่านผู้หญิงชนัตถ์ เป็นคนแรกๆ ในประเทศ ตั้งแต่เมื่อ 76-77 ปีที่แล้ว ที่เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ท่านจึงได้พยายามสร้างโรงแรมที่ดี และต่อมาจึงสร้างโรงแรมดุสิตธานีอย่างยิ่งใหญ่ กลายเป็นโรงแรมต้นแบบที่นำเอาหลายสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่เคยมีมาก่อนมาไว้ที่นี่ เช่น เป็นโรงแรมที่มีรูปลักษณะของการออกแบบที่เป็นไทย และมีการบริหารงานและการให้บริการด้วยเอกลักษณ์ของความเป็นไทย มีการเชิญคนอื่น โดยส่วนใหญ่เป็นเพื่อนคุณแม่ เข้ามาร่วมลงทุนในการสร้าง ดังนั้น เมื่อโรงแรมดุสิตธานี เปิดให้บริการครั้งแรกในปี 2513 จึงกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย และกลายเป็นโครงการที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น โรงแรมแห่งนี้ กลายเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาให้กับประเทศไทย และเป็นตัวชูโรงในการเชิดชูวัฒนธรรมไทย และการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างไทย ให้ต่างชาติได้เห็น ซึ่งหลังจากนั้น ก็ยังไม่มีโรงแรมไหน หรือธุรกิจการท่องเที่ยวใดๆ ที่สามารถสร้างภาพพจน์ในระดับเดียวกันกับที่ดุสิตธานีเคยทำได้มาก่อน
นอกจากนี้ ท่านผู้หญิงฯ ยังได้วางหลักการในการบริหารธุรกิจ ที่เรายึดถือมาโดยตลอดตั้งแต่แรก คือ Business with Honor — นั่นก็คือ ต้องทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบใคร เชิดชูความเป็นไทย ไม่ค้ากำไรเกินควร ยึดประโยชน์ของประเทศชาติมาก่อนสิ่งอื่นใด ยึดผลประโยชน์และความพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ มากกว่าจะเห็นผลประโยชน์ต่างๆ เฉพาะตน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือกำไรระยะสั้นๆ นี่คือรากฐานที่ทำให้ดุสิตธานีเป็นแบรนด์ไทยที่ทุกคนภาคภูมิใจ
ท่านผู้หญิงฯ เน้นย้ำว่า เพื่อให้หลักการนี้คงอยู่ ครอบครัวลูกหลานของท่าน จะต้องเป็นผู้ดูแลและรักษาบริษัทไว้ต่อไป และนั่นคือที่มาของโครงสร้างการบริหารที่ท่านผู้หญิงฯ วางไว้ใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งสุดท้ายแล้ว เป็นที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ที่คุณสินีและน้องอีกคนเห็นต่าง และเป็นผู้เปิดประตูเชิญชวนให้คนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อนเข้ามามีอำนาจควบคุม บมจ. ดุสิตธานี ที่ยืนหยัดบริหารงานตามหลักการของท่านผู้หญิงชนัตถ์มาโดยตลอด
เรื่องผลประกอบการ – ความจริงที่ต้องเข้าใจ
ข้อกล่าวหาว่า บริษัทขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่ได้สะท้อนความจริงทั้งหมด การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการใหญ่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มูลค่า 46,000 ล้านบาท การลงทุนในโครงการต่างๆ ก่อนที่จะเกิดโควิด และความพยายามในการประคับประคองกิจการในช่วงโควิด โดยที่เราไม่เคยเพิ่มทุนแม้แต่น้อย ไม่เคยที่จะผลักภาระต่างๆ ไปยังผู้ถือหุ้น แต่พยายามอย่างมากที่จะดูแล ประคับประคองกิจการ ดังนั้น นี่ไม่ใช่การล้มเหลวทางธุรกิจ แต่เป็นรากฐานในการสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อไป
วันนี้เราได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เราทำได้ โครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ก็ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ด้วยความเชื่อมั่น และการสนับสนุนของผู้ถือหุ้นรายย่อย ตลอดจนคณะกรรมการของบริษัททุกๆ ท่าน ทั้งที่พ้นวาระไปแล้ว เพราะบริษัท ชนัตถ์และลูก ไม่เลือกให้กลับเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการ และคณะกรรมการบริษัทชุดปัจจุบัน รวมถึงคณะผู้บริหารที่นำโดยคุณศุภจี และพนักงานของดุสิตธานีทุกคนที่ทุ่มเททำงานกันมาอย่างหนักเป็นเวลา 7-8 ปี เราต้องผ่านทั้งปัญหาเรื่องโควิด ปัญหาเรื่องการขอกู้เงินธนาคาร ซึ่งมีนโยบายระงับการให้สินเชื่อในช่วงโควิด ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก่อสร้างช่วงโควิด การมีสงครามในหลายประเทศทำให้วัสดุก่อสร้างราคาแพงขึ้น ปัญหาคอนโดล้นตลาด และเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัว ทุกคนร่วมต่อสู้กันมาโดยตลอด ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมาก ตั้งแต่หลักการ แนวคิด และการออกแบบให้โครงการมีความแตกต่างจากที่อื่น และมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น ทุกอาคารในโครงการมองเห็นวิวสวนลุมพินีอย่างเต็มตา ซึ่งตอนนี้โครงการทั้งหมดกำลังเดินไปได้ดีมาก โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ แห่งใหม่เปิดมาไม่ถึงปี ก็ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้า โครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นโครงการห้องชุดขายไปแล้วกว่า 92% รอทยอยรับรู้รายได้การโอนอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า และจะช่วยให้เรามีรายได้เติบโตมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และกำลังจะมีกำไรมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รายได้เหล่านี้ จะมาช่วยปลดภาระหนี้ที่ค้างอยู่ นอกจากนี้ เรายังพยายามสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ดีงามให้กับสังคม เช่น สวนลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ซึ่งนี่คือ แนวคิดของผม ที่ต้องการสร้างพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพ ดังนั้น ความสำเร็จเหล่านี้ คือ เครื่องพิสูจน์ว่า ดุสิตธานีกำลังจะก้าวผ่านช่วงที่ยากที่สุด และเดินสู่การเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง
สิ่งที่ชนินทธ์ต้องการสื่อ
สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ใช่การต่อสู้ส่วนตัวของผมกับใคร แต่คือการปกป้องดุสิตธานีที่กำลังจะมีอนาคตที่สดใส จากการถูกยึดครองโดยไม่เป็นธรรม ทั้งๆ ที่ ดุสิตธานีคือแบรนด์ไทยที่ครอบครัวเราสร้างมากว่า 76 ปี และเป็นมรดกทางจิตวิญญาณที่ต้องรักษาไว้ แต่อยู่ๆ กลับจะมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ ด้วยการเสนอชื่อกรรมการเข้ามาใหม่ถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มขึ้นจากเดิม 12 เป็น 18 คน และเปลี่ยนกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ซึ่งสามารถทำให้อำนาจการควบคุมกิจการเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงฝ่ายบริหาร ซึ่งผมคิดว่าเป็นการไม่ยุติธรรมต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการ และทีมงานที่ทุ่มเทเวลามาเกือบ 10 ปี เพื่อฟูมฟักและทำให้ดุสิตธานีเติบโตมาจนถึงจุดนี้ และที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นยังเป็นการไม่ยุติธรรมต่อผู้ถือหุ้นรายย่อย
ดังนั้น ผมเห็นว่าการที่พยายามจะเอาคนนอก ที่ไม่ได้เข้าใจความเป็นดุสิตธานี เข้ามากุมอำนาจในช่วงนี้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมกับหลายๆ ฝ่าย ซึ่งอาจจะสร้างผลกระทบในทางลบกับบริษัทดุสิตธานีอย่างมาก ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของดุสิตธานี จะสร้างผลกระทบให้กับเจ้าของโรงแรมที่ไว้วางใจให้ดุสิตธานีบริหารให้เกือบ 300 แห่งทั่วโลก หรือแม้แต่หุ้นส่วนที่มาเข้าลงทุนกับบริษัทในเครือ ลูกค้าที่มาใช้บริการโรงแรม รวมถึงลูกค้าในโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส กว่า 400 คนที่มาซื้อห้องชุด ด้วยความเชื่อถือและมั่นใจในคณะกรรมการ และผู้บริหารชุดปัจจุบัน
ปิดท้าย
ผมขอยืนยันว่า ดุสิตธานี จะต้องเป็นบริษัทที่มีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทอื่น จึงจะสามารถสืบสานเจตนารมณ์และหลักการที่ดีของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ในการเน้นเอกลักษณ์และความเป็นไทย และให้คุณค่าความสำคัญกับกับการดูแลผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
ผมขอขอบคุณผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายสำหรับการสนับสนุนที่มีให้มาโดยตลอด และขอยืนยันว่า สิ่งที่ผมทำ ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เพื่อรักษาความถูกต้อง ความเป็นธรรม และอนาคตขององค์กร เพื่อให้ดุสิตธานียังคงเป็นแบรนด์ไทยที่น่าภาคภูมิใจของครอบครัว ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร พนักงาน และประเทศชาติ
ผมขอสัญญาว่า ผมยังจะไม่ไปไหน และจะยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป และถ้าหากสามารถปลดผมได้ ผมก็จะยังอยู่กับดุสิตธานีในบทบาทอื่น และจะพยายามอย่างเต็มที่ในการกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดุสิตธานีเหมือนเดิม ผมจะไม่ยอมทิ้งดุสิตธานีไปไหน รวมทั้งจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องดุสิตธานี ไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม ผมจะคอยทำหน้าที่จับตาและเฝ้าดู กรรมการและผู้บริหารใหม่ รวมถึง ใครก็ตาม หากเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหาย ผมจะใช้สิทธิที่ตนเองมีในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด