มุกเด็ดที่ Humor Sapiens ใช้ทำพวงกุญแจหมาโบ้, เสื้อโชว์ปกหนังสือ และพวงกุญแจของคนโลเล
กระเป๋าผ้าพร้อมช่องพกพาหนังสือที่เปิดและปิดได้เพื่ออวดปกหนังสือที่กำลังอ่าน, พวงกุญแจช่วยตัดสินใจ ตั้งแต่วันนี้จะกินอะไร ไปจนถึงจะสระผมดีไหม นอกจากนั้นยังมีพวงกุญแจที่พลิกแล้วภาพเปลี่ยน จากกำมือเป็นชูนิ้วกลาง ฯลฯ
สินค้าที่เห็นแล้วชวนขำ บ้างรู้สึกอีหยังวะเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสินค้าในนาม Humor Sapiens ของ ยชญ์ บรรพพงศ์ ที่หลายคนรู้จักกันในนาม ‘ยชญ์ Untitled Case’ หนึ่งในโฮสต์รายการ Untitled Case ในช่อง Salmon Podcast
ก่อนหน้านี้ เขายังเป็นที่รู้จักในฐานะครีเอทีฟของขายหัวเราะ ความฮาสามัญประจำบ้านของชาวไทย และที่นั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Humor Sapiens ที่เริ่มจากคำคำหนึ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการประชุมทีม
“พี่ไม่ใช่คนธรรมดา พี่เป็น Humor Sapiens”
ฟังครั้งแรกอาจรู้สึกขำตามคำว่า Humor ที่แปลว่าอารมณ์ขัน แต่สำหรับยชญ์ เขามอบคำคำนี้ให้พี่ๆ นักวาดของขายหัวเราะ เพราะมองว่ารุ่นพี่นักวาดมีพรสวรรค์ในการหยิบสิ่งรอบตัวมาเล่าเรื่องด้วยมุกตลก และจากคำนั้นเอง ที่กลายเป็นคำตั้งต้นที่ทำให้ขายหัวเราะลองส่งต่ออารมณ์ขันผ่านของที่ ‘จับต้องได้’ มากขึ้น เป็นที่มาของสินค้าชิ้นแรกภายใต้ขายหัวเราะอย่าง ‘กิ๊บโกรธ’ ที่แค่ติดไว้ที่ผมก็เหมือนกำลังโกรธตลอดเวลา
จากของที่ตั้งใจทำเล่นๆ ขำๆ กลายเป็นไวรัลแบบไม่ทันตั้งตัว เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามองเห็นความเป็นไปได้ของแบรนด์น้องใหม่ แบรนด์ที่ต่อยอดคำว่า Humor Sapiens ให้กลายเป็น tangible item ที่จับต้องได้ และน่าหยิบไปพูดถึงต่อ
สินค้าหลายชิ้นเป็นสินค้าที่เห็นแล้วขำ บางชิ้นเห็นแล้วสงสัยว่าคิดได้ยังไง และบางชิ้นก็รู้สึกว่าไม่มีก็ได้ แต่ถ้ามีก็คงสร้างสีสันให้ชีวิตได้ดี
เราจึงขอชวนยชญ์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านภายใต้หลังคาเดียวกันอย่าง Vithita Group มาสนทนาถึง 5P เบื้องหลังแบรนด์ Humor Sapiens นี้ไปพร้อมๆ กัน ถ้าอ่านจนจบแล้วรู้สึกอยากเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ยชญ์ขออันเชิญทุกคนไปออกล่ากันที่ humorsapiens.co
Product
สินค้าที่เล่นกับอารมณ์ขัน อินไซต์ของคน และมีกลุ่มลูกค้าเฉพาะทาง
“สิ่งหนึ่งที่เราว่าคนไทยสามัคคีกันมากคือการเล่นมุก มันเหมือนอารมณ์ขันเป็นสิ่งที่เชื่อมพวกเราเข้าด้วยกัน ภายใต้เศรษฐกิจและสังคมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน” ยชญ์เกริ่นถึงจุดร่วมที่เขาเห็น และนั่นเองที่ทำให้ Humor Sapiens เป็นแบรนด์ที่ตั้งต้นจากคำว่า ‘อารมณ์ขัน’ ก่อนขยายสู่การนำ ‘ความคิดสร้างสรรค์’ มาตอบอินไซต์ของผู้คน
แต่เช่นเดียวกับหลายๆ ธุรกิจ ในช่วงตั้งไข่อาจมีทีมงานแค่ไม่กี่คน สรรพกำลังที่มีอยู่จึงอาจไม่เพียงพอในการสร้างแบรนด์แล้วปังตั้งแต่วันเปิดตัว แทนที่จะออกล่าตั้งแต่เช้ายันค่ำมืด ด้วยสมาชิกในเผ่าที่มีเพียงน้อยนิด ซึ่งอาจโดนเสือหรือสิงโตเจ้าป่าลากไปเขมือบตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกจากถ้ำด้วยซ้ำ ยชญ์จึงเลือกหาจังหวะเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปิดตัวแบรนด์
“เราถามตัวเองว่า ณ ตอนนั้น ไพ่ที่ดีที่สุดคืออะไร ก็เลยนึกถึงงานหนังสือ เรายังมีฐานแฟนจาก Untitled Case อยู่ ขณะเดียวกันก็คิดว่างานหนังสือน่าจะเป็นงานเปิดตัวแบรนด์ที่ทําให้คนในงานจับต้องสินค้า ได้เห็นไวบ์ และเข้าใจความเป็น Humor Sapiens มากกว่าการเปิดตัวในโลกออนไลน์ ที่สำคัญ งานหนังสือยังมีคนเดินเป็นล้าน มันน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
เมื่อตั้งเป้าเปิดตัวที่งานหนังสือ เขาจึงคิดว่าสินค้าแรกๆ ควรต้องเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับงานที่จะไปออก เป็นที่มาของเสื้อยืดสกรีนกลับหัวว่า ‘You look sexy keep reading’ ซึ่งออกแบบให้คนที่นั่งก้มหน้าอ่านหนังสือจะเห็นข้อความนี้ในมุมของตัวเอง
นอกจากนั้นยังมีหมวก Genre Cap ที่สีและอักษรที่สกรีนเป็นธีมของนวนิยาย เช่น Classic Novel สีน้ำตาลที่สื่อถึงนวนิยายคลาสสิก หรือจะเป็นหมวกสีเหลือง สกรีนอักษร Young Adult สื่อถึงความสดใสและความกล้าในวัยแรกรุ่นที่สะท้อนผ่านนวนิยายที่เล่าถึงการก้าวข้ามผ่านช่วงวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่
ที่แตกต่างและแทบไม่เคยเห็นที่ไหนคือสินค้าคอลเลกชั่น Judge Me by the Cover ที่มีทั้งเสื้อที่มีกระเป๋าใส่หนังสือได้ และกระเป๋าผ้าที่เปิดให้เห็นหน้าปกได้
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
“แทนที่จะเป็น Don’t judge a book by its cover. ที่บอกว่าอย่าตัดสินหนังสือที่หน้าปก เหมือนกับว่าอย่าตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอก เรารู้สึกว่าในยุคนี้ คนค่อนข้างอยากให้คนอื่นๆ รู้นะว่าเขาอ่านหนังสืออะไร มันคือการบอกตัวตนของคนคนนั้น เหมือนกับว่าถ้าเราเลือกเสื้อผ้า หรือน้ำหอมเพื่อบ่งบอกตัวตนของเรา หนังสือก็เป็นเครื่องมือนั้นได้เหมือนกัน
“เราทำแค่ไม่กี่ร้อยตัวเพราะคิดว่ามันคงไม่ใช่ทุกคนที่อยากได้ ซึ่งมันก็มีคนที่มาซื้อในงานหนังสือจนขายหมดไป คิดว่าถ้าไปขายนอกงานหนังสือก็น่าจะยากเหมือนกัน เราเลยคิดว่าสินค้าแต่ละชิ้นมันต้องคิดขึ้นจากอินไซต์ของคน และอินไซต์นี้มันรับใช้คนแบบไหน”
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
พวงกุญแจนิ้วกลางเป็นหนึ่งในสินค้าที่คิดจากอินไซต์ของผู้คนในปัจจุบัน ตัวพวงกุญแจนี้ใช้เทคโนโลยี Lenticular เพื่อให้ภาพสลับไปมาระหว่างกำมือและมือที่โชว์นิ้วกลาง แรงบันดาลใจมาจากโปสต์การ์ด 3 มิติที่เคยเห็นตามอควาเรียมหรือโชว์โลมาในวัยเด็ก
“บางครั้งคนเราก็อยากแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา แต่ไม่อยากพูดตรงๆ เหมือนเป็น passive aggressive อะไรแบบนั้น แนวๆ เดียวกับกิ๊บโกรธ สินค้ากลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่คิดมาจากความต้องการของคนแล้วก็หา นวัตกรรมบางอย่างเพื่อทําให้มันดูใหม่ขึ้น”
นอกจากนั้น ยังมี Decision Keychain ที่ออกแบบให้หมุนเพื่อช่วยคนที่ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ แรกเริ่มเขาคิดทำเป็นลูกเต๋า แต่เปลี่ยนเป็นพวงกุญแจให้ใช้งานจริงมากขึ้น หรือจะเป็นพวงกุญแจหมาไม้ที่เริ่มต้นจากมีมในอินเทอร์เน็ต ทั้งมีมที่บอกว่าเหมือนมีหน้าหมาในมัฟฟินช็อกชิพ มีมที่คนชอบเปรียบว่าหมาขนฟูเหมือนไก่ทอดกรอบ หรือจะเป็นแผ่นไม้ โต๊ะไม้ หรือเสาไม้ต่างๆ ที่เหมือนมีวิญญาณหมาอยู่ในนั้น
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
ภาพ : Facebook Humor Sapiens
“เรารู้สึกว่าไอ้สิ่งนี้ตลกดี เราชอบหมา แล้วไอ้เทคโนโลยี Lenticular มันก็สามารถเล่นกับมีมนี้ได้ ก็เลยทำออกมา กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รู้สึกว่าไม่ได้ครีเอทีฟอะไรมากก็แค่ต่อยอดจากไอเดียเดิมมาสู่ของใหม่ ดังนั้นจะเห็นว่า สินค้าแต่ละชิ้นมันอยู่ภายใต้ Humor Sapiens ก็จริง แต่เราไม่ได้มองว่าสินค้าทุกชิ้นต้องตอบคนกลุ่มเดียวกันนะ
“บางคนที่สนใจ Decision Keychain อาจจะไม่ได้ชอบหมามัฟฟินก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือที่จะมาซื้อกระเป๋าที่โชว์ปกได้ หรือบางอันมันอาจจะไม่ได้ตลก แต่มันเป็นสินค่าที่ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป”
ยชญ์ยอมรับว่าแบรนด์ยังเล็ก และยังไม่เก่งด้านการบริหารต้นทุน แต่ก็ไม่อยากรีบกลายเป็นบริษัทที่รวยเร็วจนเกินไป เขายังอยากให้แบรนด์ได้ทดลอง สนุก และคิดของใหม่ออกมาได้เรื่อยๆ เหมือนแบรนด์ที่เขายกให้เป็นแรงบันดาลใจ เช่น PDM หรือแบรนด์ที่เน้นการพัฒนาสินค้า
“โจทย์ที่ตั้งไว้ตอนนี้จึงคือต้องหาเงินให้ได้ ต้องบริหารการเงินให้ถูกต้อง ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่เราก็ต้องเรียนรู้กันไปเพื่อให้เราเป็นแบรนด์ที่มีอิสระในการคิดสินค้า เพราะว่ากันตามตรง พอเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย คนก็ต้องเลือกใช้เงินกับสิ่งที่เป็นปัจจัย 4 ก่อน พอสินค้าของเราเป็นเหมือนกิมมิกในการใช้ชีวิตมันก็มีความท้าทายอยู่มาก ต่อให้กระแสในออนไลน์มันดีก็ไม่ได้แปลว่าคนจะซื้อเยอะขนาดนั้น”
จากบทเรียนในช่วงแรกเริ่มนี้เอง ยชญ์จึงต้องแบ่งสัดส่วนสินค้าให้ชัดเจนมากขึ้นว่าสินค้าแบบไหนที่คนน่าจะซื้อง่าย เป็นสินค้าที่คนเห็นว่าสำคัญกับชีวิตมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งหมดทั้งมวล Humor Sapiens จะยังคงเป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน โดยใช้อารมณ์ขัน และอินไซต์เป็นตัวตั้งต้น
“เราคุยกับทีมว่าแบรนด์ที่เราชื่นชอบและอยากให้ Humor Sapiens เป็นแบบนั้น คือ Beams ของประเทศญี่ปุ่น เขาเป็นแบรนด์ที่แข็งแรงมาก ไม่ว่าจะทําจาน ทําแก้ว แฟนๆ ก็อุดหนุน เราอยากเป็นแบบนั้น ในอุดมคติ เราอยากให้มันเป็นแบรนด์ที่สักวันหนึ่งคนจะเข้าใจว่านี่คือแบรนด์อะไร โดยที่ไม่ได้ต้องพูดว่ามันขายอะไรบ้าง มันไม่ได้ง่ายแต่ก็เป็นภาพใหญ่ที่อยากไป”
Price
ราคาที่ให้เกียรติไอเดีย และให้เกียรติคนซื้อ
ในโลกที่ผู้บริโภคหลายคนยังคุ้นชินกับการตั้งราคาให้ถูกที่สุดเพื่อให้สินค้าขายได้เร็วที่สุด แบรนด์เล็กอย่าง Humor Sapiens กลับเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่ได้อิงกับสงครามราคามากนัก แต่เริ่มจากการให้เกียรติงานที่ทำ และให้เกียรติคนที่ซื้อ
“ถ้าเราทํางานออกมาแล้วเราไม่กล้าตั้งราคากับมัน เราก็รู้สึกว่ามันคือการไม่ให้เกียรติงานที่ตัวเองทํา เราตั้งราคาถูกกว่านี้ไม่ได้มากหรอก แต่มันก็จะทําให้เรารู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ว่าเราควรจะไปอยู่ในตลาดของเล่นราคาถูกที่นำเข้าจากจีนไหม แต่เราก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบรนด์ที่แพงแบบดีไซเนอร์แบรนด์
“เราอยากให้มันเป็นแบบ affordable creativity ที่เราเองก็ใส่ไอเดียได้เต็มที่ แต่ราคาก็ยังอยู่ในช่วงที่คนเข้าถึงได้
เวลาคิดจะทำโปรดักต์สักชิ้น เขาจะเริ่มจากการดูต้นทุนก่อนเป็นอันดับแรก เช่น หากทำจานหนึ่งใบแล้วต้นทุนสูงถึง 500-600 บาท เขาจะต้องพิจารณาต่อว่า ถ้าขายที่ราคาหลักพัน เช่น 1,300 หรือ 1,400 บาท จะยังมีกลุ่มเป้าหมายที่ซื้อได้อยู่ไหม หากประเมินแล้วว่าไม่คุ้ม หรือราคาสูงเกินกำลังซื้อ ก็อาจต้องพักก่อน
“เราก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าถ้าเรายึดจากต้นทุนแล้วไปสู่ price เลย มันไม่ได้นําไปสู่จุดสุดท้ายว่าคนจะซื้อไหม เราเลยตั้งต้นจากว่าคนมีเงินซื้อสิ่งนี้แค่ไหนด้วย ดังนั้น การคิดสินค้าพร้อมคิดภาพกลุ่มลูกค้าไปด้วยจึงสำคัญมาก มันจะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าแต่ละสินค้าควรราคาเท่าไหร่ แล้วค่อยดูว่ามันเป็นไปได้ไหมกับต้นทุนนี้”
เมื่อพูดถึงกลุ่มคนที่ซื้อ Humor Sapiens ยชญ์มองว่า คือคนทำงาน โดยเฉพาะในเจเนอเรชั่นวาย และเริ่มเห็นแนวโน้มของเจนฯ Z ที่กำลังเติบโตขึ้นเช่นกัน เขาอธิบายว่าลูกค้าแบรนด์ไม่ใช่คนที่ใช้เงินทุกบาทเพื่อความอยู่รอด แต่คือคนที่มีเงินเหลือบ้างพอสมควร จนสามารถใช้ไปกับของที่ ‘ไม่จำเป็น’ แต่ ‘เติมเต็ม’ บางอย่างในชีวิตได้
“เราเป็นผงชูรสอะ ถ้าเขามีเงินเหลือเมื่อไหร่ก็ค่อยซื้อของเรา ประมาณนั้น”
Promotion
สื่อสารให้คนรู้สึกและเห็นภาพ
แม้ Humor Sapiens จะเป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าเป็นหลัก แต่การทำคอนเทนต์ก็ไม่หยิ่งหย่อนเช่นกัน เขามองว่า “คอนเทนต์เหมือนน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่มีใครรู้ว่าเรากำลังคิดหรือทำสินค้าอะไรอยู่”
ยกตัวอย่าง Decision Keychain ที่นำไปสู่ไอเดียคอนเทนต์อย่าง ‘One Day with Decision Keychain’ ที่ชวนลองใช้ชีวิตทั้งวันโดยให้พวงกุญแจนี้ช่วยตัดสินใจ หรือจะเป็น Genre Cap หมวกที่แบ่งสีตามแนวหนังสือ อย่างสีเหลืองแทนแนว Young Adult หรือสีดำแทนแนว Mystery & Crime
“ถ้าบอกแค่ว่าหมวกนี้มีกี่สี แต่ละสีปักชื่อ genre หนังสือ ก็คงน่าเบื่อ แต่ถ้าเล่าให้ลึกกว่านั้นว่าหมวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้คนเลือกใส่ตามอารมณ์ในแต่ละวัน เช่น วันนี้รู้สึกสดใส อยากมีชีวิตแบบตัวละครในนิยายวัยรุ่น ก็หยิบหมวกสีเหลืองขึ้นมาใส่ หรือวันที่อยากดูลึกลับ ก็หยิบหมวกสีดำที่แทนแนวสืบสวน มันก็จะทำให้สินค้าดูมีชีวิตมากขึ้น”
“เบื้องหลังของสินค้าแต่ละชิ้นใน Humor Sapiens ถูกออกแบบมาเพื่อรับใช้ความต้องการของผู้คน หน้าที่ของคอนเทนต์จึงคือการดึงวิธีคิดเหล่านั้นออกมาให้คนอื่นเห็นและรู้สึกได้ด้วยตัวเอง”
https://youtu.be/M5mJzTlvZto
หลายคนอาจรู้จักยชญ์ในฐานะหนึ่งในโฮสต์ประจำรายการ Untitled Case ของช่อง Salmon Podcast เขายังเป็นนักเขียนเจ้าของหนังสือหลายเล่ม แต่แทนที่จะใช้ช่ือเสียงดั้งเดิมของตัวเองเป็นตัวกลางในการสื่อสาร ยชญ์กลับมองต่างออกไป
เพราะแม้แบรนด์จะเริ่มจากตัวเขา แต่ก็อยากให้วันหนึ่ง Humor Sapiens เติบโตจนเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น และกลายเป็นแบรนด์ที่ยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่ง personal branding เป็นหลัก ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมองว่าความเป็นยชญ์ Untitled Case ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแยกขาดจากแบรนด์โดยสมบูรณ์เพราะสิ่งนี้คือสารตั้งต้นของแบรนด์ด้วยซ้ำ
“มันเหมือนเรามีไพ่ใบหนึ่งที่เราจะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่สิ่งที่เราว่าต้องทำให้ได้มากกว่านั้นคือการหาสูตรการทําคอนเทนต์ของแบรนด์ เราก็พยายามลองทําหลายแบบ มันก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง แล้วก็ได้เรียนรู้ว่ามันต้องยิงแอดบ้าง ต้องทํานู่นนี่นั่นบ้าง จะไปหวังออร์แกนิกอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่สุดท้าย ทุกชิ้นที่ปล่อยไปก็เป็นผลงานที่เราชอบ สุดท้ายมันมาจากคนทํางานว่าเรามองสินค้าที่ทำแบบไหน อยากเล่ายังไง”
เช่นเดียวกับเรื่องราคา ยชญ์ตั้งราคาสินค้าโดยอิงจากความรู้สึกว่าเหมาะสมกับคุณค่าในตัวสินค้านั้นๆ คือไม่ถูกเกินไป ไม่แพงเกินไป และเขายอมรับได้หากต้องลดราคาด้วยเหตุผลที่ดี เช่น ตามโปรโมชั่นของแพลตฟอร์ม หรือเพื่อต้องการให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่จะไม่ใช้การลดราคาเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นยอดขาย
Place
ออกล่าในช่องโลกออฟไลน์ ดำรงอยู่ได้ด้วยโลกออนไลน์
สำหรับแบรนด์เล็กๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน คำว่า ‘place’ ของแบรนด์ไม่ใช่ช่องทางการวางจำหน่าย หรือเป็นเพียงสถานที่สำหรับขายของเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงโอกาสเข้าถึงลูกค้า สนามทดลองของแบรนด์ และการสร้างความสัมพันธ์
หาก Humor Sapiens เป็นคน สเตจในชีวิตของคนคนนี้คงเป็นการวิ่งไปในทุกทางที่มี เพื่อหาที่ทางที่ใช่ของตนเอง ทั้งช่องทางออฟไลน์ และช่องทางออนไลน์
“ช่องทางออนไลน์มันเหมือนเป็นเซฟโซนและเป็นช่องทางกระดูกสันหลัง ถึงเราจะไม่ได้ไปออกอีเวนต์ ไม่ได้ไปฝากขายที่ไหน แต่หน้าร้านออนไลน์มันจะยังอยู่ตรงนั้นเพื่อหล่อเลี้ยงทีม ดังนั้นเราก็ต้องโฟกัสให้ยอดในออนไลน์มันมากพอที่จะรันองค์กรได้ ส่วนอีเวนต์เป็นเหมือนช่องทางการหาเงินก้อนใหญ่มาทำสินค้าอื่นๆ ในอนาคต”
หลักๆ ยชญ์เลือกใช้อินสตาแกรมเป็นตัวกลางในการสื่อสาร นอกจากนั้นเขายังมี marketplace อื่นๆ อย่าง Shopee และยังทำ affiliate marketing หรือการตลาดแบบพันธมิตรที่แบรนด์จะให้คนอื่นๆ ช่วยขายสินค้าให้ แลกกับค่าคอมมิชชั่นจากยอดขายที่เกิดขึ้นจริง
“affiliate marketing มันเหมือนเรากำลังสร้างเผ่าพันธุ์ Humor Sapiens โดยเราจะเปิดให้คนเจนฯ ลิงก์สินค้าได้ ถ้าเขาเอาลิงก์ไปแปะที่ไหน เช่น สตอรี่ไอจี แล้วคนกดซื้อสินค้าจากลิงก์นั้น เขาก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นไป แต่ตอนแรก เราคิดว่าแค่บอกเฉยๆ ก็น่าจะมีคนทำแล้ว กลายเป็นว่ามันต้องสื่อสาร ทำแคมเปญ และเปิดให้คนมีส่วนร่วมจริงๆ”
ขณะที่ช่องทางออนไลน์คือเซฟโซน การไปออกบูทจึงเป็นเหมือนการออกล่าสัตว์สำหรับมนุษย์ถ้ำอย่าง Humor Sapiens
“เวลาเราไปออกบูท เราต้องเตรียมตัวไปดูหน้างาน เราต้องไปหาเงิน เอาของในมือเราไปส่งมอบให้คนที่ต้องการมัน แล้วคนที่เขามาจับสินค้า เขาจะรู้สึกมีแมจิกบางอย่างมากกว่าการเลือกซื้อในออนไลน์ ดังนั้นแม้ช่องทางออฟไลน์จะเป็นท่าที่เราเองไม่ถนัด แต่ก็ต้องทํา”
https://www.tiktok.com/@yodbanpapong/video/7486272233724235028?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7438890417436001813
เส้นทางของ Humor Sapiens เริ่มต้นจากงานหนังสือช่วงปลายมีนาคม นับเป็นการเปิดตัวแบรนด์สู่สายตาสาธารณะครั้งแรก จากนั้นจึงเริ่มเดินทางไปตามอีเวนต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้ง CAT TShirt, CAT Expo, Illustration Fair, มหแบหนังสือ จนกระทั่ง Fume Fest
จากการออกหน้าร้านที่งานหนังสือครั้งแรกซึ่งเขาคิดสินค้าเดบิวต์แบรนด์ที่เหมาะสมกับงานนั้นๆ ทำให้ยชญ์มองว่าการเลือกสินค้าและเปิดตัวสินค้าให้เหมาะกับผู้คนในงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยอมรับว่าสำหรับทีมเล็กๆ ที่ยังมีข้อจำกัด การมีของใหม่ในทุกงานไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ตลอด
แม้งานที่เคยไปส่วนใหญ่จะเป็นแนวของเล่น งานหนังสือ หรือตลาดครีเอเตอร์ แต่ในอนาคตยชญ์อยากให้แบรนด์เดินไปอีกทางหนึ่งคือเทศกาลงานศิลปะ เพราะเป้าหมายคือการยกระดับแบรนด์ให้มีคุณค่ามากกว่าของที่ซื้อมาเพราะน่ารัก แต่ให้คนรู้สึกว่าแบรนด์มีเซนส์ทางศิลปะ มีความคิดสร้างสรรค์ที่ลึกขึ้น
Puen
เพื่อนกันมันกว่า
“ถ้ามันไม่ฝืนจนเกินไป”
ยชญ์ทำทีลังเล ก่อนตอบคำถามว่านอกจาก Product, Price, Place, Promotion ของแบรนด์แล้ว อีก P ที่เขาคิดว่าสำคัญคือ “P เพื่อน P-U-E-N”
คำตอบจากเขาอาจแตกต่างจากเจ้าของธุรกิจคนอื่นๆ ที่เคยสนทนา ทว่าคำว่า ‘puen’ ของเขามีที่มาและความหมาย
“เราติดหนี้บุญคุณคนเยอะมาก วันที่ไปออกงานหนังสือ เรายังแพ็กของไม่เสร็จเลย แต่ก็ได้เพื่อนๆ ในตึกออฟฟิศซึ่งไม่ได้อยู่ในแบรนด์เราด้วยซ้ำมาช่วยแพ็กของ แล้วก็ไอเดียหลายๆ อย่างน่ะ เราก็ได้มาจากการคุยกับเพื่อน
“อีกอย่าง เราอยากให้ vibe การทำงานในทีมมันมีความเป็นเพื่อนกัน หรือแม้กระทั่งลูกค้าที่มาซื้อของเรา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนที่เก็ตในสิ่งเดียวกัน ใช้ของคล้ายๆ กัน แล้วไอ้ความเป็นเพื่อนเนี่ย เวลาชอบอะไรก็จะป้ายยาให้เพื่อนอีกที คำว่า ‘เพื่อน’ มันเลยน่ารักดีและเหมาะกับสิ่งที่เราอยากให้เป็น”
จากมกราคม 2568 จนถึงปัจจุบัน (สิงหาคม 2568) Humor Sapiens อาจไม่ใช่แบรนด์ใหญ่โตหรืออยู่มานานนม แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยชญ์และทีมได้เรียนรู้ เผชิญกับความท้าทาย และเห็นโอกาสหลายๆ อย่าง หนึ่งในนั้นคือ การเรียนรู้ที่จะรอ
“การรอมันมันวัดใจมากเลยนะว่าเราใจแข็งพอที่จะเชื่อในแผนที่เราทำหรือเปล่า เชื่อในสิ่งที่เราตัดสินใจไปแล้วหรือเปล่า มันเหมือนกับการต้มมาม่านะ บางทีเรารอไป 2 นาที มันก็ยังไม่สุก ต้องรออีกหนึ่งนาทีมันถึงจะสุก แล้วเรารอเก่งแค่ไหน สำคัญคือเราพร้อมจะรอแค่ไหนด้วย
“แต่อีกความยาก คือถ้าเรารอผิดจุดล่ะ ถ้าเรารอในสิ่งที่มันไม่ควรจะรอ ก็เป็นสิ่งที่ผิดพลาดเหมือนกัน เราเองก็กําลังเรียนรู้สิ่งนี้อยู่ว่าสิ่งไหนควรรอ สิ่งไหนไม่ควรรอ แล้วสิ่งไหนควรรีบแก้ไขทันที เราว่าสิ่งนี้ยากที่สุดในการเป็นเจ้าของแบรนด์”
แม้จะไม่ได้มีแบรนด์ที่เหมือนกันเป๊ะๆ ในไทย แต่ยชญ์มองว่ามีบางแบรนด์ที่มีแก่นหลักที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะในต่างประเทศที่มีครีเอเตอร์หลายคนที่เก่งด้านการทำสื่อ และสามารถสร้างสินค้าที่ชาญฉลาดและโดดเด่นได้ เขามองว่าคนกลุ่มนี้ถือเป็นคู่แข่งทางอ้อมของแบรนด์เขา
สำหรับแบรนด์ในไทย ยชญ์มองว่าอะไรก็ตามที่จัดอยู่ในหมวด ‘ของฟุ่มเฟือย’ ไม่ใช่ของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคู่แข่งของแบรนด์ได้ทั้งนั้น เขายกตัวอย่างแนวคิดของ Netflix ที่เคยบอกว่าคู่แข่งของแบรนด์คือเวลานอน เพราะทุกอย่างที่แย่งความสนใจและเวลาไปจาก Netflix ก็คือคู่แข่งทั้งหมด ซึ่งสำหรับเขา แนวคิดนี้ก็ใช้ได้เช่นกัน
ถึงอย่างนั้น ยชญ์ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบแข่งขันกับคนอื่นขนาดนั้น เพราะการมองว่าโลกเต็มไปด้วยคู่แข่ง รังแต่จะสร้างความเครียดและความกดดันที่อาจทำให้เขาหลุดจากธรรมชาติของตัวเอง ในตอนนี้คู่แข่งของแบรนด์จึงไม่ใช่แบรนด์อื่น แต่คือ ‘ข้อจำกัดของตัวเอง’ ที่จะทำให้แบรนด์ไปถึงจุดที่เขาพึงพอใจ
“ถามว่าจุดไหนที่เราพอใจ คือเราอยากให้ Humor Sapiens เป็นแบรนด์ที่คนจดจําได้ว่าเป็นแบรนด์ที่ทําสินค้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ อยากให้เป็นแบรนด์ที่ผลิตไอเทมฮิตๆ เรายังคงแสวงหาหนทางไปถึงจุดนั้นอยู่ ยังตอบไม่ได้ว่ามันจะมาเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้คือเราก็ปล่อยของที่เรารู้สึกว่าสิ่งนี้เนี่ย เราแม่งโคตรภูมิใจที่ได้ทำมัน”