ยุบศบ.ทก.สู่ภาวะปกติ ‘อ้วน’ชี้จะได้ไม่มีเฟกนิวส์ ย้ำฟ้องICCเอาผิดผู้นำเขมร
“ภูมิธรรม” ประกาศเตรียมยุบ “ศบ.ทก.” บอกทุกอย่างกำลังเข้าสู่ภาวะปกติ! อ้างจะได้ไม่มีเฟกนิวส์ “กองทัพบก” ย้ำแนวคิด มทภ.2 ต้องเอา “ปราสาทตาควาย” กลับคืนเพราะเป็นดินแดนไทย แต่ไม่ได้เคลื่อนย้ายกำลังปฏิบัติการใดๆ “กต.” แจงทำหนังสือฟ้องกัมพูชาไปแล้ว 3 ฉบับ ทั้งเรื่องวางทุ่นระเบิด-ยิงใส่พลเรือน "จิรายุ" รับจะยื่นหลักฐานฟ้องไอซีซี เอาผิดเขมรก่ออาชญากรรมสงคราม “ฮุน เซน” เดือดอัด “สม รังสี” ยังเป็นคนอยู่หรือไม่ที่เชียร์ทหารไทย
เมื่อวันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ประกาศจะยึดปราสาทตาควายคืน ซึ่งมีข้อสงสัยว่าจะเป็นการละเมิดข้อตกลงคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) หรือไม่ว่า ไม่ทราบ ยังไม่ได้ยินที่แม่ทัพภาคที่ 2 บอก แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลง
ส่วนการที่กองทัพออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ แต่กัมพูชามองว่าเราไปกระตุ้นและอาจละเมิดข้อตกลง นายภูมิธรรมยืนยันว่า ยังไม่มีอะไรผิดสัญญา และกองทัพซึ่งเป็นหน่วยงานหลักก็ได้ยืนยันแล้วก็ให้เป็นไปตามนั้น
เมื่อถามว่า สถานการณ์ชายแดนขณะนี้เข้าสู่สภาวะปกติแล้วหรือยัง เนื่องจากในช่วง 1-2 วันนี้ยังมีเฟกนิวส์ออกมาตลอดว่าจะมีการกลับมายิงกันอีก นายภูมิธรรมกล่าวว่า เฟกนิวส์มันเยอะ จนทำให้พวกท่านปั่นป่วนกันไปหมด จนทำประชาชนปั่นป่วน ซึ่งในวันที่ 13-14 ส.ค.จะมีการประชุมสภาความมั่นคงฯ ทุกอย่างจะเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ และศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) จะยุติบทบาท ทุกอย่างเข้าสู่ปกติ ไม่มีเฟกนิวส์ ทุกวันนี้ที่สู้กันคือเฟกนิวส์ที่สร้างความปั่นป่วน สร้างความรู้สึกมึนงงกันไปหมด แล้วทำให้มีปัญหา
“ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.จะพิจารณา ถ้าทุกอย่างยุติเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ ให้รอติดตามข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงจากรัฐบาลดีกว่า อย่าไปเอาในโซเชียลที่มีโน่นนี่กระตุ้นขึ้นมา แล้วกลายเป็นความปั่นป่วน เราต้องฟังและดูอย่างมีสติ”
เมื่อถามย้ำว่า การจะยุบ ศบ.ทก.แสดงว่ามั่นใจแล้วว่าสถานการณ์จะนิ่งไปตลอดใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า จะเกิดจากกองทัพและฝ่ายข่าว รวมถึงการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากคิดว่าจบแล้วก็จบ ให้ดูจากตรงนั้น ส่วนจะประชุมในวันไหนขอให้มีการประชุมก่อน และให้ติดตามจาก สมช.แล้วจะมีคำตอบให้
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษก กห.กัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลังเพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ เลยวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตต้องพยายามนำกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ตามขั้นตอนที่เหมาะสมของอนาคต
“จะนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงกรอบอาร์บีซีที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และขอย้ำว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่าแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหารไปดำเนินการอย่างแน่นอน จึงไม่ไช่ความพยายามที่มีการยั่วยุ และมีการวางแผน ใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด”
ด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะคณะกรรมการ ศบ.ทก.ระบุสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันอาทิตย์ที่ 10 ส.ค. 2568 จนถึงเช้าวันวันจันทร์ที่ 11 ส.ค. 2568 สถานการณ์บริเวณพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด ไม่มีเหตุปะทะหรือความรุนแรงเกิดขึ้น โดยศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังการประชุมจีบีซีมีแนวโน้มคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง และหลายพื้นที่ปลอดภัย ซึ่งประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนาภายใต้การดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคง
ปฏิบัติตามข้อตกลงจีบีซี
นายจิรายุกล่าวต่อว่า บางพื้นที่ยังพบวัตถุระเบิดหรือวัตถุต้องสงสัยตกค้าง ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบและเก็บกู้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้หากประชาชนพบพื้นที่ที่ยังไม่ปลอดภัยหรือพบวัตถุต้องสงสัย ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หมายเลข 191 เพื่อประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าดำเนินการ
ส่วนศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 แถลงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายยังคงวางกำลังตามแนวที่มั่นของตน โดยฝ่ายเรายึดมั่นที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงการประชุมจีบีซีอย่างเคร่งครัด โดยมุ่งมั่นที่จะรักษาความสงบเป็นสำคัญ อีกทั้งยังมีการดำเนินการปรับปรุงฐานที่มั่นในส่วนที่ชำรุดเสียหายให้กลับมาใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ การดำเนินงานด้านจิตอาสา เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ต่อพสกนิกรชาวไทย ที่ได้พระราชทานสิ่งของ และทรงห่วงใยประชาชนอย่างต่อเนื่อง
“กองทัพภาคที่ 2 ยังคงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน หากมีการพบเห็นวัตถุต้องสงสัย ให้ดำเนินแจ้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันที เพื่อประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าดำเนินการตรวจสอบ เก็บกู้หรือทำลาย และขอให้หลีกเลี่ยงการเข้าพื้นที่ดังกล่าวจนกว่าจะมีประกาศยืนยันความปลอดภัย”
นายจิรายุยังกล่าวถึงกรณีกำลังพลเหยียบกับระเบิดระหว่างลาดตระเวนบริเวณรอยต่อ ช่องโดนเอาว์-กฤษณา (บริเวณภูมะเขือ) อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 3 นาย ซึ่ง 1 นายบาดเจ็บรุนแรง ข้อเท้าซ้ายท่อนล่างขาด ว่าล่าสุดเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ได้มีหนังสือถึงประธานการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (ลงวันที่ 9 ส.ค. 2568) ร้องเรียนการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชาในพื้นที่บริเวณช่องโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดเรียบร้อยแล้ว และจากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าเป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ ถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากการประชุมจีบีซี ซึ่งในการประชุมฝ่ายไทยเสนอให้ทั้งสองฝ่ายเก็บกู้ทุ่นระเบิดร่วมกัน แต่กัมพูชาปฏิเสธ ทั้งนี้ได้ขอให้ประธานอนุสัญญาฯ เวียนหนังสือแจ้งรัฐภาคีอื่นๆ เพื่อทราบต่อการละเมิดอนุสัญญาของฝ่ายกัมพูชา
นายจิรายุกล่าวอีกว่า เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวาและนครนิวยอร์ก ได้เข้าพบประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 และเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงผู้แทนระดับสูงของรัฐภาคีต่างๆ ของอนุสัญญาฯ ตลอดจนองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ดำเนินการต่อการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชา และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ของกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง ขอย้ำว่าไทยประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบัน แต่ไทยจะยื่นหลักฐานต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เอาผิดกัมพูชาก่ออาชญากรรมสงคราม มีการทำร้ายพลเรือนอย่างชัดเจน
ทำหนังสือฟ้องแล้ว 3 ฉบับ
“รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อกำลังพลที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการกระทำของกัมพูชา ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 ที่กองกำลังไทยประสบเหตุการณ์เช่นนี้ในเวลาเพียงไม่ถึง 1 เดือนจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้” นายจิรายุกล่าว
ด้านกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ได้ออกเอกสารชี้แจง ถึงการดำเนินการของไทยต่อกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2568 วันที่ 23 ก.ค. 2568 และวันที่ 9 ส.ค. 2568 กองกำลังทหารไทยรวม 11 นาย ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่วางใหม่โดยกองกำลังทหารกัมพูชา ในบริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี และช่องโดนเอาว์-กฤษณา อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ตามลำดับ นั้น
กต.ได้ดำเนินการภายใต้กรอบอนุสัญญาออตตาวาเพื่อตอบโต้กัมพูชา ดังนี้ 1.เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา มีหนังสือถึงประธานการประชุมรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 จำนวน 3 ฉบับ โดยฉบับแรกลงวันที่ 23 ก.ค. 2568 เรื่องการวางทุ่นระเบิดที่บริเวณช่องบก จ.อุบลราชธานี ฉบับที่สอง ลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 เรื่องการโจมตีมายังฝั่งไทยอย่างไม่แยกแยะระหว่างพลรบและพลเรือน และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 9 ส.ค. 2568 การวางทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่บริเวณช่องโดนเอาว์-กฤษณา
2.เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก มีหนังสือลงวันที่ 24 ก.ค. 2568 ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ ขอรับความชัดเจนจากฝ่ายกัมพูชาต่อการกระทำที่เป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และ 3.เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา และเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ยังได้เข้าพบประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 และเลขาธิการสหประชาชาติ รวมถึงผู้แทนระดับสูงของรัฐภาคีต่างๆ ของอนุสัญญาฯ ตลอดจนองค์กรภาคประชาสังคมที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้ดำเนินการต่อการละเมิดพันธกรณีของกัมพูชา และชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ ของกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง
ย้ำไทยยึดหลักสากล
นายจิรายุยังกล่าวถึงกรณีรัฐบาลกัมพูชานำคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชา ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายในจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา แล้วอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากการโจมตีของฝ่ายไทยว่า ยืนยันไทยไม่มีระเบิด MK-84 และไม่โจมตีใส่เป้าหมายพลเรือน ปฏิบัติการเฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ต่างจากกัมพูชาที่มุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทยนอกเขตพื้นที่การรบ หลายจุดมีระยะห่างจากแนวรบไกลถึง 30 กิโลเมตร และในส่วนของระเบิด MK-84 ที่อ้างว่าพบนั้น กองทัพอากาศไทยได้เคยออกมายืนยันแล้วว่าเป็นข่าวปลอม ไทยไม่เคยจัดซื้อระเบิดจากแหล่งที่ถูกกล่าวอ้าง และการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ทุกชนิดของไทยดำเนินการผ่านพันธมิตรด้านความมั่นคงที่ได้รับการรับรองเท่านั้น ซึ่งควรให้องค์กรที่เป็นกลางและมีความน่าเชื่อถือในระดับนานาชาติเป็นผู้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย
“รัฐบาลไทยยืนยันชัดว่าไทยยึดมั่นในหลักสากล ไม่ใช้กำลังกับเป้าหมายพลเรือน และจะปกป้องประชาชนและอธิปไตยของประเทศอย่างเต็มที่” นายจิรายุกล่าว
พล.ต.วินธัยกล่าวว่า การลงพื้นที่ของคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำกัมพูชาจาก 9 ประเทศ สำรวจความเสียหายในหมู่บ้านทมาดอน ตำบลโคกมอน อำเภอบันเตียอำปึล จังหวัดอุดรมีชัย ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งจากการทิ้งระเบิด MK-84 เป็นส่วนหนึ่งของการติดตามมติที่ประชุมจีบีซีเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2568 แต่มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงของฝ่ายกัมพูชา เพราะทหารไทยยึดมั่นต่อการใช้อาวุธต่อเป้าหมายทางทหารตามหลักสากลเท่านั้น และการใช้อาวุธของฝ่ายไทยมีประสิทธิภาพ สามารถจำกัดวงการทำลายให้อยู่ในพื้นที่เป้าหมายทางทหารเท่านั้น ไม่เหมือนฝ่ายกัมพูชาที่มุ่งโจมตีเป้าหมายพลเรือนของไทย ที่อยู่นอกขอบเขตพื้นที่การรบ โดยในหลายจุดมีระยะห่างจากพื้นที่การรบไกลมากถึง 30 กิโลเมตร ปัจจุบันสามารถนับจุดตำบลที่มีกระสุนจากฝ่ายกัมพูชามาตกในพื้นที่พลเรือนรวมกันเป็นร้อยจุด ซึ่งมีทั้งได้ระเบิดไปแล้วและที่ยังไม่ระเบิดอีกจำนวนมาก โดยฝ่ายไทยจัดทำบันทึกไว้เป็นหลักฐานแล้วอย่างละเอียด ซึ่งฝ่ายกัมพูชามิอาจปฏิเสธความจริง และมิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และถือเป็นการมุ่งโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือนอย่างจงใจ
“บริเวณวัดตาเมือนแซนเจย ต.โคกมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ที่มีปรากฏร่องรอยความเสียหายตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงนั้น ขอย้ำว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เป้าหมายทางทหาร ซึ่งอยู่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา มีระยะห่างจากแนวชายแดน 1.8 กิโลเมตร ไม่ใช่ลึกเข้าไปยังพื้นที่ตอนในไกลถึง 20-30 กิโลเมตร แบบที่ฝ่ายกัมพูชากระทำต่อฝ่ายไทย ซึ่งพื้นที่บริเวณดังกล่าวอยู่ในขอบเขตของพื้นที่การสู้รบ และในห้วงการสู้รบไม่มีบุคคลพลเรือนอยู่อาศัย มีเพียงทหารฝ่ายกัมพูชาใช้เป็นพื้นที่รวมพลเพื่อรวมพลเข้าตีไทย ตัวเลขพลเรือนที่มีการบาดเจ็บและสูญเสียในบริเวณดังกล่าวที่อ้างถึงนั้นจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริง หากมีการบาดเจ็บและสูญเสียจะมีเพียงทหารฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น”
ฮุน เซนเดือดซัด ‘สม รังสี’
ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ กล่าวถึงการดำเนินคดีเอาผิดผู้นำประเทศกัมพูชา ที่ได้ออกคำสั่งยิงจรวด BM-21 ทำให้ประชาชนไทยต้องเสียชีวิต ว่าควรดำเนินคดีอาญาต่อไอซีซี โดยสภาทนายความจะช่วยเหลือประชาชนด้วยการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายส่วนแพ่งฐานละเมิด โดยจะฟ้องผู้นำประเทศกัมพูชาที่ศาลแพ่งต่อไป
ผศ. ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งซูเปอร์โพล ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้านวิทยาการข้อมูลและระเบียบวิธี กล่าวถึงการนำผู้นำกัมพูชาขึ้นศาลไอซีซีว่า เป็นกระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ต้องอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์ระดับสากล ไม่ใช่การโต้เถียงทางการเมืองหรือการปะทะคารมกัน และต้องเดินหน้าอย่างเป็นระบบตั้งแต่การยืนยันข้อเท็จจริงในพื้นที่เกิดเหตุ ไปจนถึงการส่งสำนวนต่ออัยการไอซีซีผ่านช่องทางที่กฎหมายรองรับ
วันเดียวกัน สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา โพสต์คลิปพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า "พี่น้องประชาชนที่รักร่วมชาติทุกท่าน! ในขณะที่ประชาชนและกองทัพของเราได้เผชิญและกำลังเผชิญความเจ็บปวดจากการรุกรานของไทย ซึ่งรวมถึงโรงเรียน, วัดวาอาราม, บ้านเรือนประชาชน รวมถึงปราสาทโบราณ โดยเฉพาะปราสาทพระวิหารก็ถูกกองทัพไทยยิงถล่ม บีบบังคับให้ประชาชนหลายหมื่นครอบครัวต้องละทิ้งบ้านเรือน กลายเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม ซึ่งเป็นความเจ็บปวดของทั้งชาติ แต่ทำไมกลับมีชาวเขมรคนหนึ่ง ออกมาชื่นชมกองทัพไทยผู้รุกราน และดูหมิ่นกองทัพเขมรของเรา? เขาเป็นมนุษย์หรือสัตว์? เขารักชาติหรือทรยศชาติ? ขอให้พี่น้องทุกท่านรับฟังและคิดด้วยตัวเอง ผมยินดีใช้เพจทางการของผม ที่มีผู้ติดตาม 15 ล้านคน เพื่อช่วยเผยแพร่คำพูดความจริงของเขา ตามที่แนบมานี้"
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. นายสม รังสี อดีตผู้นำฝ่ายค้านกัมพูชา ได้ไลฟ์พบปะกับประชาชนกัมพูชา ที่เมืองช็องเบรี ประเทศฝรั่งเศส ช่วงหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา 5 วัน ระหว่างวันที่ 24-28 ก.ค. โดยประณามกองทัพกัมพูชาที่ยิงโจมตีใส่เป้าหมายพลเรือนไทย และยกย่องกองทัพไทยที่บุกโจมตีเป้าหมายในกัมพูชาได้อย่างแม่นยำ.