เทคโนโลยีกับช่องว่างระหว่างวัย
ในอดีต เมื่อพูดถึงช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) เรามักหมายถึงความแตกต่างของทัศนคติและวิธีคิดระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ แต่ในปัจจุบันช่องว่างระหว่างวัยไม่ได้เกิดขึ้นเพราะอายุเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นผลจากสภาพแวดล้อมทางเทคโนโลยีและสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คนรุ่นเก่าเติบโตมาในโลกที่ติดต่อสื่อสารเป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยการพบปะหรือการส่งจดหมาย ในขณะที่คนรุ่นใหม่เติบโตมาในโลกที่ทุกอย่างอยู่ในมือเพียงปลายนิ้ว สมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันตั้งแต่ยังจำความได้
ผลลัพธ์คือ คนสองรุ่นนี้แม้จะอยู่บ้านเดียวกันหรือทำงานร่วมกัน แต่กลับไม่พูดภาษาเดียวกันทั้งในแง่ความคิด วิธีทำงาน และความคาดหวัง โดยในที่ทำงาน มักพบว่าผู้บริหารหรือหัวหน้างานรุ่นเก่าไม่เข้าใจพฤติกรรมของพนักงานรุ่นใหม่
เช่นเดียวกับในครอบครัวที่พ่อแม่ที่เติบโตมาในยุคที่การเรียนและการทำงานต้องใช้ความพยายามยาวนานก็มักไม่เข้าใจว่าทำไมลูกถึงดูไม่อดทน หรือชอบใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มากกว่าพูดคุยกับครอบครัว
ความต่างนี้ไม่ใช่เพราะลูกไม่รักครอบครัว แต่เพราะวิธีเชื่อมโยงกับโลกของเขาเปลี่ยนไปแล้ว
คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะที่เกิดหลังปี 2000 มักถูกเรียกว่า Digital Native เพราะคุ้นเคยกับการใช้สมาร์ทโฟน และอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรทำให้พวกเขาเข้าถึงความรู้ได้อย่างมากมาย แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม หลายคนมีความรู้รอบตัวน้อยกว่าที่ควรทั้งที่ข้อมูลอยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว
สาเหตุหนึ่งคือ พฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีไม่ได้มุ่งไปที่การแสวงหาความรู้ แต่เป็นการเสพความบันเทิงและเชื่อมต่อทางสังคม จากการสำรวจนักเรียนมัธยมต้นถึงมัธยมปลายในหลายประเทศ
เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน รวมถึงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่ากิจกรรมหลักบนสมาร์ทโฟนคือ การดูคลิปวิดีโอ เล่นเกมส์ ใช้สื่อโซเชียล และค้นหาข้อมูลแบบสั้นๆ มากกว่าการอ่านเชิงลึก
โซเชียลมีเดียมีข้อดีคือเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อสร้างมุมมองที่หลากหลายแต่ในอีกด้านหนึ่ง มันกลายเป็นแหล่งแรงกดดันอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะเมื่อการสื่อสารต้องโต้ตอบทันทีและตลอดเวลา
ในอดีต การติดต่อสื่อสารมีข้อจำกัดด้านเวลา เช่น การส่งจดหมายต้องรอหลายวัน การนัดพบต้องใช้เวลาเตรียมตัว จึงทำให้คนมีช่วงพักจากโลกภายนอก เมื่อกลับถึงบ้านก็ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวหรือทำสิ่งที่ชอบได้อย่างเต็มที่
แต่ในปัจจุบัน เด็กและวัยรุ่นยังคงเชื่อมต่อกับเพื่อน ครู หรือแม้แต่ชุมชนออนไลน์อยู่ตลอดเวลา แม้จะกลับบ้านแล้วก็ยังต้องคอยตอบข้อความเสมอเพราะกลัวตกข่าว หรือพลาดงานด่วนจากโรงเรียน สิ่งนี้ทำให้เกิดภาวะเชื่อมต่อถาวร หรือ Always-on ที่สร้างความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว
ช่องว่างระหว่างคนรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ในยุคนี้เป็นมากกว่าเรื่องของวัย แต่เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โลกของคนรุ่นเก่าเคลื่อนไหวช้าและมั่นคง
ในขณะที่โลกของคนรุ่นใหม่หมุนเร็วและเต็มไปด้วยข้อมูล การจะอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น ไม่ใช่การพยายามทำให้เหมือนกัน แต่คือการเรียนรู้ที่จะเคารพและผสมผสานจุดแข็งของแต่ละรุ่น เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเข้าใจกันมากขึ้น