คนเบื่อการเมือง! หมดหวังแก้ปัญหาประเทศ ครึ่งหนึ่งจะไม่เลือก สส.เขตคนเดิม
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ เรื่อง “มีความหวังหรือหมดหวังกับพรรคการเมือง” สำรวจระหว่างวันที่ 13-14 ส.ค. 2568 กลุ่มตัวอย่าง 1,310 คน เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชนต่อการทำงานของ สส. ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้ง พบว่า ประชาชนไม่ค่อยพอใจ 32.29% ไม่พอใจเลย 28.24% ค่อนข้างพอใจ 27.18% พอใจมาก 11.60% และอีก 0.69% ไม่ตอบ เมื่อถามว่า หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จะเลือก สส. ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่งหรือไม่ กลุ่มตัวอย่าง 50.69% ระบุว่า ไม่เลือก 25.57% ไม่แน่ใจ และ 23.74% ระบุว่า เลือก
ส่วนความหวังของประชาชนต่อพรรคการเมืองที่มี สส. อยู่ในสภา ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในการแก้ปัญหาของประเทศ พบว่าประชาชน 41.91% ระบุหมดหวังแล้ว 34.19% ระบุ ค่อนข้างหมดหวัง 20.92% ระบุ ค่อนข้างมีความหวัง และ 2.98% ระบุว่า มีความหวังมาก และถามว่า หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จะเลือก สส. แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดิมที่เคยเลือกเมื่อปี 2566 หรือไม่ กลุ่มตัวอย่าง 40.46% ระบุว่า ไม่เลือก 29.47% ระบุว่า เลือก 26.95% ไม่แน่ใจ และ 3.12% ระบุ ยังไม่เคยไป/ไม่ได้ไปลงคะแนนเสียง
ขณะที่สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง “โพลนักธุรกิจ นักลงทุน คิดอย่างไรต่อพรรคการเมือง” จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจ นักลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ การค้า และการผลิตทั่วประเทศจำนวน 450 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10-16 ส.ค. พบว่า ภาคธุรกิจมีมุมมองวิพากษ์วิจารณ์ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในหลายมิติ โดย 74.3% เห็นว่าพรรคใหญ่เต็มไปด้วยความขัดแย้งภายใน มีหลายมุ้งหลายกลุ่ม ไม่เป็นเอกภาพ 70.9% เห็นว่าพรรคใหญ่ถูกหนุนหลังโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และ 68.8% เห็นว่าพรรคใหญ่ไม่สะท้อนเสียงของธุรกิจ SMEs
ซึ่งพรรคเล็ก หรือพรรคเกิดใหม่ ที่กลุ่มตัวอย่างภาคธุรกิจให้ความสนใจ คือ พรรคปวงชนไทย (หัวหน้าพรรคคือ นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย) มีคะแนนนำในหลายประเด็น ตามด้วยพรรคไทยก้าวใหม่ ของ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ และพรรคไทยสร้างไทย ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
“นายกฯ อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และรมว.วัฒนธรรม โพสต์สตอรี่ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว เป็นคำสอนของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ว่า “การได้รับกำลังใจเป็นเรื่องดี แต่การสร้างกำลังใจให้ตัวเองได้เป็นเรื่องดีที่สุด” และ “สติ” เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราอยู่เหนือ “ความชอบ-ชัง” ได้
“สส.เดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย รองโฆษกพรรค กล่าวขอบคุณที่สภาให้ความเห็นชอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 และว่า โครงการที่จะใช้งบประมาณในปี 2569 คือ โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายเพื่อทำให้การเดินทางสะดวกรวดเร็ว ลดรายจ่ายของประชาชน และจะนำไปใช้ในโครงการฟื้นฟูการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน ตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยว 2.8 ล้านล้านบาท จะดึงนักท่องเที่ยว 36 ล้านคน
สส.เดียร์ กล่าวถึงคลิปเสียงที่ สส.พรรคประชาชน (ปชน.) อ้างว่ามีบุคคลปริศนาติดต่อแลกคะแนนเสียงโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 และ ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร รวมถึงเปิดเผยคลิปเสียงยาว 13 นาที สื่อความหมายว่าเป็นการมอบเงิน 10 กิโลกรัม โดยเรียกร้องให้ สส.พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เปิดประเด็น เปิดเผยชื่อคนโทรศัพท์หา สส. หากยังไม่มีความจริงปรากฏ ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับพรรค ปชน. เพราะตอนนี้มีคนเริ่มตั้งคำถามว่า นี่เป็นการเมืองใหม่ของพรรคการเมืองรุ่นใหม่ หรือเป็นการเมืองแบบเก่าที่ตัวเองบอกว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ รัฐบาลเวลานี้ทำงานเป็นเอกภาพ ไม่จำเป็นที่จะต้องซื้อเสียงโหวตเพื่อผ่านร่างกฎหมาย
นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กเป็นคลิปวิดีโอที่นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สส.นนทบุรี พรรค ปชน. อภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 วาระ 2 และ 3 ถึงงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เกี่ยวกับการไปสังเวชนียสถาน ว่าไปดูงานต่างประเทศแล้วไปกราบอะไรก็ไม่รู้ ท่านอยู่ประเทศไทยให้คนอื่นเขากราบไหว้ แต่พอท่านไปประเทศอื่น ท่านกลับไปกราบอะไรก็ไม่รู้
นางอมรัตน์ แสดงความเห็นว่า “เป็นสคริปต์อภิปรายของ สส.ปชน.ที่มักง่าย ขาดวุฒิภาวะ ขาดศิลปะในการสื่อสารการเมืองอย่างเหลือเชื่อ งานนี้เกินจากคำว่าไม่เหมาะสมไปไกล น่าผิดหวังมาก เป็นเรื่องพื้นฐานที่วิญญูชนทั่วไปย่อมทราบดีว่าศรัทธาและความเชื่อเรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เมื่อจำเป็นต้องพูดหรือวิจารณ์ต้องระมัดระวังเลือกถ้อยคำอย่างพิถีพิถันรอบคอบ ให้เกียรติ ไม่ให้รู้สึกไปลบหลู่สิ่งใด เรื่องนี้แม้เจ้าตัวจะออกมาขอโทษภายหลัง อ้างเหตุว่ามีเจตนาเบื้องหลังที่ดี แต่ส่วนตัวดิฉันเห็นว่ายังเป็นคำขอโทษที่ไม่ทำให้คนที่เสียความรู้สึกไปเรียบร้อยแล้ว จะรู้สึกดีขึ้นได้”
ปิดท้ายด้วยเรื่องเขากระโดง กองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งเเวดล้อม ดีเอสไอ จะลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 19-22 ส.ค.นี้ เพื่อขอข้อมูลเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อดูว่าข้อมูลสารบบที่ดิน 995 แปลง ใครถือครองมากที่สุด และดูเรื่อง 12 หน่วยงานราชการที่มีที่ตั้งในพื้นที่พิพาทดังกล่าวด้วย จากนั้นภายในช่วงสิ้นเดือน ส.ค. เตรียมประมวลเรื่องเสนออธิบดีรับเป็นคดีพิเศษ
ผู้เชี่ยวชาญภายในดีเอสไอ ได้ให้ข้อมูลว่าศาลฎีกาได้ระบุว่าพื้นที่ทั้งหมดเป็นของ รฟท.แต่สิ่งที่จะชัดเจนที่สุด คือ คำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งได้มีคำวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นกรรมสิทธิ์ของ รฟท. ที่มีไว้ใช้เพื่อราชการตาม พ.ร.บ.จัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464 ช่วงท้ายของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่ระบุว่า “เนื่องจากที่ดินทั้งหมดเป็นที่ดินของรัฐ จึงไม่ได้ผูกพันเฉพาะคู่ความตามมาตรา 145 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง” กล่าวคือ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่เกี่ยวกับที่ดินของรัฐนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะคู่ความในคดีนั้น แต่สามารถมีผลบังคับใช้ในวงกว้างกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องหรือมีผลผูกพันกับที่ดินนั้นได้ด้วย
“นอกจากนี้ ในข้อเท็จจริงเมื่อปี 2567 กรมที่ดินและ รฟท. ได้มีการรังวัดร่วมกันโดยใช้ GPS ซึ่งส่วนนี้สำคัญที่สุดที่จะใช้ยืนยันแนวเขต รฟท.ได้”
"ทีมข่าวการเมือง"