ปริศนา ‘หุ้นยาจีน’ ใน Nasdaq พุ่ง 82,000% แต่ดิ่ง 74% ใน 1 สัปดาห์ ล่อเม่าแล้วขายทิ้ง?

เมื่อไม่นานมานี้ ตลาดหุ้นชั้นนำของโลกอย่าง Nasdaq ได้เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึง และสร้างความงุนงงให้กับนักลงทุนทั่วโลกขึ้น นั่นคือกรณีของ “Regencell Bioscience” บริษัทยาแผนจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น Nasdaq และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในฮ่องกง

ในทันใดนั้น มูลค่าหุ้นของบริษัทก็พุ่งขึ้นอย่างมหาศาลถึง 82,000% จากจุดต่ำสุดเดือนกุมภาพันธ์ในเวลาอันสั้น ก่อนที่จะร่วงลงอย่างรวดเร็วถึง 74% ในเวลาเพียงราวหนึ่งสัปดาห์

- ราคาหุ้น Regencell Bioscience (ภาพ: TradingView) -

ราคาที่ผันผวนและรุนแรงเช่นนี้ ถือเป็นปริศนาอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่มีข่าวสารใดๆ ที่สำคัญออกมา เพื่ออธิบายการพุ่งขึ้น หรือร่วงลงอย่างไม่คาดฝันดังกล่าว

สำหรับ “Regencell Bioscience” เป็นบริษัทที่ขาดทุนมาโดยตลอด แต่การที่หุ้นบริษัทพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง 82,000% ทำให้ “หยัด ไก อู๋” (Yat-Gai Au) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ถึง 86% ของบริษัท กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืนจากมูลค่าหุ้น ด้วยมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 33,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 1 ล้านล้านบาท รวย “แซงหน้า” มหาเศรษฐีในฮ่องกงอย่างลีกาชิง

- หยัด ไก อู๋ (ภาพ: Regencell Bioscience) -

อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งนี้กลับค่อนข้างสั้น เพียงหนึ่งสัปดาห์ต่อมา มูลค่าสินทรัพย์ของอู๋ก็ลดลงอย่างรวดเร็วเหลือ 10,100 ล้านดอลลาร์ และ ณ วันที่ 26 มิถุนายน สัดส่วนการถือหุ้นของเขาก็เหลือประมาณ 8,600 ล้านดอลลาร์

ที่น่าสนใจ คือ ระหว่างช่วงที่หุ้นพุ่งและหุ้นร่วง ตัวซีอีโอผู้นี้กลับไม่ได้อยู่ในสำนักงานใหญ่ในฮ่องกง จุดคำถามว่าตัวเขาอยู่ที่ไหนกันแน่

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างรู้สึกประหลาดใจกับการเคลื่อนไหวของหุ้นนี้ โดยริชาร์ด แฮร์ริส ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Port Shelter Investment Management กล่าวว่า “การเคลื่อนไหวเหล่านี้ ผิดปกติอย่างมาก และอาจดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานรัฐในการเข้าสืบสวน”

ด้านอีริค กอร์ดอน ศาสตราจารย์จาก Ross School of Business ของมหาวิทยาลัย Michigan ชี้ว่า แม้บริษัทเวชภัณฑ์ที่อยู่ในช่วงเริ่มต้น ก็อาจเห็นราคาหุ้นพุ่งแรงได้ หากมีข่าวดีเกี่ยวกับการทดลองยา แต่ในกรณีของ Regencell นั้น ‘สิ่งที่น่าสนใจคือ ไม่มีข่าวใดๆ เลย”

เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ชายสองคนและหญิงหนึ่งคน ได้เดินทางมายังสำนักงานของ Regencell ในฮ่องกง เพื่อสอบถามข้อมูลการรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) และภาวะสมองเสื่อม พวกเขากล่าวว่าได้อ่านเรื่องการพุ่งขึ้นของหุ้นก่อนที่จะมาถึง

อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนทั้งสามก็ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ โดยพนักงานกล่าวว่าพนักงานของบริษัทไม่ใช่แพทย์ และแนะนำให้พวกเขาเข้าชมเว็บไซต์ของบริษัทแทน

รู้จัก Regencell บริษัทยาจีนปริศนา

Regencell Bioscience ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 โดยจดทะเบียนในหมู่เกาะเคย์แมน และมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง มีธุรกิจหลักคือ การตลาดและขายใบอนุญาตให้ใช้สิทธิการรักษาแบบดั้งเดิมสำหรับภาวะสมาธิสั้น (ADHD) และโรคออทิสติกสเปกตรัม (ASD) ซึ่งสูตรยาดังกล่าวพัฒนาโดย Sik-Kee Au บิดาของหยัด ไก อู๋ และใช้ชื่อเครื่องหมายการค้าว่า “Brain Theory”

สำหรับ “ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับบริษัท” มีดังนี้

- ผลประกอบการ: บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 4.4 ล้านดอลลาร์ และ 6.1 ล้านดอลลาร์ สำหรับปีงบประมาณสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2024 และ 2023 ตามลำดับ

- ผู้บริหาร: หยัด ไก อู๋ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ เคยเข้าศึกษาที่ Haas School of Business ของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และเคยทำงานที่ Deutsche Bank AG ในช่วงปลายทศวรรษ 1990

ตามโพสต์วิดีโอในบัญชี Instagram ของบริษัท ระบุว่า หยัด ไก อู๋เคยประสบปัญหาความผิดปกติทางการเรียนรู้และปัญหาด้านการพูด มีผลการเรียนไม่ดี และอารมณ์ฉุนเฉียวควบคุมไม่ได้

จากวิดีโอเดียวกัน ภารกิจของ Regencell คือ “การพัฒนาและช่วยเหลือชีวิตผู้คน โดยใช้สูตรการแพทย์แผนจีนแบบธรรมชาติและองค์รวมในการรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) และออทิซึมสเปกตรัม (ASD)

- การตลาดที่น่าสนใจ: บัญชี Instagram ทางการของบริษัท มีผู้ติดตาม “มากกว่าครึ่งล้านคน” ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากเมื่อเทียบกับบริษัทดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกงอย่าง BeOne Medicines ที่มีผู้ติดตามเพียง 2,500 กว่าคนเท่านั้น

ในการสร้างผู้ติดตามมหาศาลเช่นนี้ Regencell อาศัยแคมเปญโซเชียลมีเดียที่เสนอตั๋วฟรีสำหรับชมคอนเสิร์ต Taylor Swift

- ความลึกลับของตัวซีอีโอ: หยัด ไก อู๋ไม่ได้อยู่ที่สำนักงานในฮ่องกง ทั้งในตอนที่เขาร่ำรวยมหาศาลและตอนที่มูลค่าสินทรัพย์ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยพนักงานในบริษัทเผยว่า อู๋มาเยี่ยมสำนักงานเพียงช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ในขณะเดียวกัน บริษัทไม่ได้ตอบกลับอีเมลและโทรศัพท์เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของหุ้น และฐานะของผู้ก่อตั้ง

- ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสอง: นอกจากหยัด ไก อู๋ ผู้ถือหุ้นอันดับ 1 แล้ว ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับสองของบริษัทคือ “Digital Mobile Venture” ซึ่งมีเจ้าของคือ ซามูเอล เฉิน และฟิโอน่า ชางซึ่งเป็นภรรยาของเฉิน โดยเฉินเป็นนักลงทุนที่ลงทุนช่วงแรกๆ ในบริษัท Zoom Video Communications จนทำให้เขาร่ำรวยมหาศาลเมื่อหุ้นของบริษัทพุ่งสูงขึ้นเกือบ 1,500% ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19

นอกจากนี้ ซามูเอล เฉิน ฟิโอน่า ชาง และบุตรของพวกเขา ถือหุ้น 55% ใน Polaris Group ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพที่ตั้งอยู่ในไทเป และกำลังพัฒนายาต้านมะเร็ง อีกทั้งเขายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ Sonix Technology ผู้ให้บริการวงจรรวมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทเปอีกด้วย

การจับตามองจากหน่วยงานกำกับดูแล

การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น Regencell ที่รุนแรงเช่นนี้ ได้ดึงดูดความสนใจจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐ ทั้งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐ (SEC) และหน่วยงานกำกับดูแลอุตสาหกรรมทางการเงิน (FINRA)

ที่ผ่านมา FINRA ได้เตือนมาหลายครั้งว่า “หุ้นขนาดเล็ก ราคาถูก” นั้นสุ่มเสี่ยงต่อการฉ้อโกง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการ “ปั่นแล้วทุบ” (Pump-and-Dump Schemes) ซึ่งผู้ฉ้อโกงจะปั่นราคาหุ้นให้สูงขึ้น แล้วรีบขายหุ้นออกไปทำกำไร โดยไม่ได้อิงพื้นฐานธุรกิจ และให้ภาพฝันอนาคตที่ไม่ได้เป็นความจริง

ขณะที่ SEC เอง ก็มีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับบริษัทต่างชาติที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ และ Regencell ก็เข้าข่ายทั้งสองประเด็นนี้ คือ ราคาหุ้นพุ่งอย่างไม่มีพื้นฐานรองรับ และเป็นบริษัทต่างชาติ

แม้ FINRA ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการตรวจสอบ Regencell โดยตรง แต่โฆษกของ FINRA ได้ย้ำถึงภารกิจในการปกป้องนักลงทุน และรักษาความสมบูรณ์ของตลาด โดยระบุว่า FINRA ยังคงติดตามกิจกรรมการซื้อขายที่ผิดปกติอย่างต่อเนื่อง

เรื่องราว“Regencell Bioscience” ถือเป็นกรณีศึกษาที่โดดเด่นและน่าสนใจในตลาดหุ้น ราคาหุ้นกลับพุ่งและร่วงอย่างรุนแรง “แม้จดทะเบียนใน Nasdaq ก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นนั้นจะปลอดภัยสำหรับนักลงทุนเสมอไป” จุดคำถามว่า อะไรคือเบื้องหลังการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนี้ หรือมีความเป็นไปได้ของการฉ้อโกงหรือไม่ ยังคงเป็นปริศนาที่รอคำตอบอยู่
อ้างอิง: bloomberg, cnbc, yahoo, Regencell