ไม่ใช่เกมการเมือง
เพื่อไทยวอนม็อบเคลื่อนไหวบนความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ไม่กลายเป็นชนวนความขัดแย้งทางการเมือง ย้ำประเทศต้องการความเป็นเอกภาพ ลั่นรักษาผลประโยชน์ประเทศ ปมยึดเขากระโดงคืน ปัดจ้องเล่นงานใคร ด้าน การรถ ไฟฯ เดินหน้าตามกรอบกฎหมาย หลังมหาดไทยไฟเขียวเพิกถอนโฉนดทับซ้อนที่ดินเขากระโดง เรืองไกร ขอ ป.ป.ช. ร้องศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ครม. และ สส. ต้องพ้นจากตำแหน่งตามพิเชษฐ์ หรือไม่ เหตุไม่ถอนร่างพ.ร.บ.งบฯ 69 แม้ถูกอภิปรายแล้ว
ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 68 พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรค แถลงถึงการนัดชุมนุมของกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยว่า พรรคเพื่อไทยขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมโดยสงบนั้น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนในระบอบประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยพร้อมที่จะป้องหลักการดังกล่าวอย่างเต็มที่
ประเทศของเรากำลังเผชิญสถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทยกับกัมพูชา ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สังคมไทยต้องการความร่วมมือ ความเข้าใจ และความเป็นเอกภาพจากทุกภาคส่วน พรรคเพื่อไทยจึงขอความร่วมมือจากทุกกลุ่มทุกฝ่าย ให้ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการแสดงออกทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงออกที่อาจจะทำให้เกิดการซ้ำเติมต่อสถานการณ์ หรือขยายความขัดแย้งทางสังคมในช่วงเวลาที่เปราะบางนี้
น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลพร้อมรับฟังเสียงจากประชาชนทุกกลุ่ม แต่ขอให้ความเคลื่อนไหวตั้งอยู่บนฐานของความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และไม่กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศในช่วงเวลาที่ประเทศเรานั้น ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างสูงสุด
น.ส.ขัตติยา ยังแถลงกรณีการเดินหน้ายึดเขากระโดง ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคการเมืองบางพรรค เพราะเป็นเกมการเมืองว่า พรรคเพื่อไทยขอยืนยันต่อสังคมไทยอย่างชัดเจน ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม หรือเป็นการเลือกปฏิบัติแต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศบนหลักของกฎหมาย ความยุติธรรมและความโปร่งใส
การดำเนินการในกรณีนี้เกิดจากกระบวนการทางกฎหมาย และการตรวจสอบที่ถูกต้องตามหลักนิติกรรม มีการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ย้อนหลัง การวินิจฉัยของศาล รวมทั้งการบังคับตามกฏหมายของหน่วยงานรัฐ ซึ่งทุกขั้นตอนเป็นไปโดยไม่เลือกปฏิบัติแต่อย่างใด ไม่ใช่การใช้กลไกรัฐเพื่อจ้องเล่นงานบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เพื่อเป็นการทวงคืนสิ่งที่เป็นของประชาชนทุกคน
น.ส.ขัตติยา กล่าวอีกว่า หากละเลยในกรณีที่มีการรุกล้ำที่ดินของรัฐหรือถือครองโดยมิชอบแม้เพียงหนึ่งกรณี ก็อาจกลายเป็นบรรทัดฐานที่บั่นทอนหลักนิติธรรมในประเทศ พรรคไทยขอยืนยันว่าเราจะไม่ปล่อยให้ทรัพยากรของชาติ เป็นเครื่องมือของผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ว่าผู้กระทำจะเป็นใครหรืออยู่ฝั่งใดทางการเมือง ท้ายที่สุดขอย้ำว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังคงมุ่งมั่นทำงานด้วยความรอบคอบ จริงใจและโปร่งใส เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นสำคัญ ทุกความเคลื่อนไหว ทุกการตัดสินใจล้วนผ่านการคิด วิเคราะห์และฟังเสียงจากหลายภาคส่วนอย่างรอบด้าน
ด้าน นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)เปิดเผยว่า ภายหลังจากกระทรวงมหาดไทยมีมติอนุญาตให้ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ออกเอกสารสิทธิ์ทับซ้อนบนที่ดินของการรถไฟฯ บริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ รฟท. จะดำเนินการตามกรอบของกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องที่ดินของรัฐให้คงอยู่เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน
ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ที่ดินบริเวณดังกล่าวซึ่งถูกออกเอกสารสิทธิ์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายสามารถขอเพิกถอนได้ทันที โดยเฉพาะพื้นที่ตรงกลางซึ่งไม่มีข้อพิพาท ส่วนพื้นที่ชายขอบซึ่งยังมีข้อพิพาทบางส่วนจะอยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนโฉนดจะต้องรอคำสั่งอย่างเป็นทางการจากอธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ หรือผู้รักษาราชการแทน เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติของสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง และคำพิพากษาศาลฎีกาที่สั่งให้เพิกถอนโฉนดที่ออกโดยมิชอบ
นายวีริศกล่าวว่า การรถไฟฯ และกรมที่ดิน ได้ร่วมกันสอบแนวเขตแล้วเสร็จในปี 2567 โดยผลการตรวจสอบยืนยันชัดเจนว่า ที่ดินบริเวณเขากระโดงเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟฯ อย่างถูกต้อง ดังนั้น กรมที่ดินมีอำนาจตามมาตรา 61 วรรค 8 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ในการเพิกถอนโฉนดโดยไม่จำเป็นต้องผ่านศาลเพิ่มเติมอีก
ขณะที่ในส่วนของประชาชนที่ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว รฟท. จะดำเนินการอย่างรอบคอบและเหมาะสม โดยเริ่มจากการเจรจา เพื่อให้ผู้ได้รับผลกระทบสามารถเลือกได้ว่าจะย้ายออกจากพื้นที่ หรือเข้าระบบการเช่าที่ดินตามระเบียบของ รฟท. หากไม่สามารถตกลงกันได้ การรถไฟฯ จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเป็นขั้นตอนต่อไป
เรายึดมั่นในหลักกฎหมาย ความยุติธรรม และความเป็นธรรม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรของชาติอย่างแท้จริง นายวีริศ กล่าวทิ้งท้าย
วันเดียวกัน นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะกรรมาธิการงบประมาณ 2569 เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รีบส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ลงมติเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จะต้องพ้นจากตำแหน่งหรือสิ้นสุดสมาชิกภาพตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 หรือไม่ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 121 คน (ผู้ร้อง) หรือสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปตามผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามความในมาตรา 234 (1) หรือไม่
นายเรืองไกร กล่าวว่า เนื่องจากผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 เป็นการวินิจฉัยที่รวมไปถึงขั้นตอนการจัดทำงบประมาณของคณะรัฐมนตรี และการลงมติในวาระที่หนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการจัดทำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2569 ตามมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งในการอภิปรายร่างฯ วาระหนึ่ง ขั้นรับหลักการ สส.ฝ่ายค้านได้อภิปรายเกี่ยวงบประมาณดังกล่าวแล้ว แต่คณะรัฐมนตรีไม่ได้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวกลับไปแก้ไข และสส.ได้ลงมติเห็นชอบในวาระที่หนึ่งด้วยคะแนนเสียง 322 เสียง ที่เป็นเหตุให้ถูกร้อง และศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อ 1 ส.ค.
กรณี จึงไม่ควรร้องเฉพาะตัวผู้ถูกร้อง คือนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่มีเท็จจริงที่ปรากฏชัดว่าครม.ทั้งคณะมีส่วนในการจัดทำงบประมาณของผู้ถูกร้องด้วยแล้ว และสส. 322 คน ได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทั้งที่มีการอภิปรายเกี่ยวกับความไม่ชอบของงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรทั้ง 3 รายการดังกล่าวแล้ว คณะรัฐมนตรีกลับไม่ถอนร่างกลับไปแก้ไขให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ลงมติไม่รับหลักการเพื่อไม่ให้เกิดการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 ดังนั้น ครม.และสส. จึงต้องรับผิดชอบเช่นเดียวกับนายพิเชษฐ์ นายเรืองไกร กล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 แล้ว กลับยังไม่พบการกระทำในส่วนของสส. หรือ สว. ที่จะทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม แต่อย่างใด กรณี จึงมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องร้องต่อ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสี่ สำหรับสส.หรือ สว.ที่ทราบผลของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว แต่ไม่เสนอความเห็นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อให้ครม.พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ หรือเพื่อให้สส. 322 คน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ด้วย หรือไม่ นั้น ผู้ร้องหรือสว.จะมีความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ตามความในมาตรา 234 (1) หรือไม่
นายเรืองไกรกล่วอีกว่า ผลจากคำวินิจฉัยดังกล่าว จะเป็นเหตุให้การแปรญัตติเพิ่มงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีเสนอมา จะทำให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่ร่วมลงมติในงบแปรญัตติ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง อันเป็นความผิดเช่นเดียวกัน เพราะมาตรา 144 วรรคหนึ่ง บัญญัติชัดว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะแปรญัตติเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขจำนวนในรายการมิได้ดังนั้น ตนจึงไม่อยู่ร่วมในการลงมติงบแปรญัตติดังกล่าว