“หมอตุลย์” เชื่อ ทหารไทย อึดอัด หลังรัฐบาล เจรจาหยุดยิง
“หมอตุลย์” เชื่อ ทหารไทย อึดอัด หลังรัฐบาล เจรจาหยุดยิง - วอน ยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง เพื่อทหารได้ปกป้องอธิปไตย - จับตา 4 ส.ค. “นายกฯ อิ๊งค์” พ้นเก้าอี้ - ลั่น ใส้ศึกในทำเนียบน่ากลัวกว่าข้าศึก
วันที่ 2 ส.ค. 68 ที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักวิชาการ กล่าวบนเวทีปราศรัยรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย ว่า เหตุผลที่เราต้องมาร่วมชุมนุมในวันนี้เพราะมีใจเดียวกันคือ ‘อึดอัดโว้ย‘ เพราะบัดนี้มีอราชศัตรูอยู่บนแผ่นดินไทยแถวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งช่วงนี้เราได้ยินคำว่าไส้ศึกน่ากลัวกว่าข้าศึก เนื่องจากว่าข้าศึกเรายังรู้ว่าหน้าตาอย่างนี้ ถือปืนอย่างนี้คือข้าศึกของเรา แต่ไส้ศึกที่น่ากลัวกว่าเพราะหน้าตาเหมือนคนไทย แต่ใจเป็นเขมร และไส้ศึกที่น่ากลัวที่สุดไม่ได้อยู่ที่สุรินทร์ ไม่ได้อยู่ที่ศรีสะเกษ อุบลราชธานี หรือบุรีรัมย์ แต่ไส้ศึกที่น่ากลัวที่สุดอยู่ในทำเนียบรัฐบาล ในขณะที่ทหารกำลังปกป้องประเทศชาติอยู่ดีๆ มีไอ้หมูตอนตัวนึงซมซานไปประเทศมาเลเซีย ประกาศเจรจาหยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข ตนจึงได้ประกาศแต่แรกแล้วว่าไม่ยอมรับการเจรจาของคนนี้ เชื่อว่าหากพวกเราอึดอัด คนที่อึดอัดกว่าพวกเราคือทหาร ตำรวจแถวชายแดน เขาอุตส่าห์เสี่ยงชีวิต เสียแขนขาเพื่อปกป้องอธิปไตยไทย มีอย่างที่ไหนที่เรากำลังลุกไล่อริราศัตรูออกจากแผ่นดินไทย แต่กลับบอกให้ปิดสวิตช์เดี๋ยวนี้ เชื่อว่าหากทหารพูดได้คงบอกว่าเราไม่ยอม ซึ่งหากจำได้ตอนที่นายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ที่ดอนเมืองบอกว่าจะไปเจรจาให้เขมรใช้แผนที่ 1:50,000 แต่ตนเชื่อว่างานนี้มีเบื้องหลังแน่นอน เพราะหลังเจรจาเสร็จมีการถ่ายภาพร่วมกันโดยบุคคลที่อยู่ตรงกลางคือนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายทักษิณ และตั้งนายทักษิณเป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ส่วนนาย ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็เป็นลูกชายของเพื่อนรักนายทักษิณเช่นกัน เพราะฉะนั้นตนขอประกาศว่าไม่ยอมรับการเจรจาในครั้งนี้ และเมื่อเจรจาเสร็จแล้วปรากฏว่ากัมพูชาไม่ได้หยุดยิง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลง 3 ใน 7 ข้อ โดยเรื่องแรกระบุว่าให้หยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ฝ่ายกัมพูชากลับยังยิงอยู่ และข้อที่สามที่ระบุว่าไม่ให้เสริมยุทธโธปกรณ์เพิ่มเติมมานั้นแต่กัมพูชากลับยังมีการเสริมยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่ชายแดนอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ประสาทตาควายที่มีการวางกับระเบิดเต็มไปหมด นอกจากนี้ในส่วนของการห้ามเคลื่อนย้ายกำลังพลนั้นทางฝ่ายกัมพูชาก็ยังคงมีการเคลื่อนย้ายกำลังพลอยู่ ตนจึงมองว่าในเมื่อนายภูมิธรรมไปตกลงหยุดยิงไว้โดยมีข้อกำหนด 7 ข้อ และกัมพูชาฝ่าฝืนไปแล้ว 3 ข้อ ซึ่งขณะนี้ผ่านมาแล้ว 5 วัน จึงอยากถามไปว่าเมื่อไหร่จะยกเลิกข้อตกลงหยุดยิงดังกล่าวนี้ ตนเชื่อว่าพี่น้องทหารที่ชายแดนกำลังบอกว่าช่วยยกเลิกข้อตกลงนี้ เพื่อทหารหาญทั้งหลายจะได้ปกป้องแผ่นดินไทยอย่างเต็มที่ โดยตอนนี้สิ่งที่นายภูมิธรรมไปเจรจาที่มาเลเซียเหมือนกับเอาโซ่ตรวนไปผูกมือผูกเท้าทหารไทยอยู่หรือไม่ เพราะฉะนั้นพวกเรามาเพื่อจะประกาศเอาโซ่ตรวนออกจากมือ ออกจากแขน ออกจากเท้าทหารไทย
ทั้งนี้ หากกัมพูชาไม่หยุดยิงและเกิดการสูญเสียในฝ่ายไทยอีก โดยนายภูมิธรรม และรัฐบาลยังไม่ประกาศยกเลิกข้อตกลงหยุดยิง เราคงจะไปโห่ดังๆ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งวันที่ 4 สิงหาคม 2568 คือเดรสรายวันสุดท้ายที่ศาลรัฐธรรมนูญประกาศว่าจะให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ยื่นคำให้การเป็นวันสุดท้าย ซึ่งตนก็รอมานานแล้ว เพราะฉะนั้นศาลรัฐธรรมนูญช่วยตัดสินไวๆ ด้วย หากตัดสินว่าให้นางสาวแพทองธาร ทำหน้าที่อยู่เราก็จะไปดูหน้านางสาวแพทองธาร กันที่หน้าทำเนียบ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ให้นางสาวแพทองธาร ผู้ทรยศชาติในคลิปเสียงฮุน เซน เราก็จะรอดูว่านายกฯ คนใหม่จะทำหน้าที่อย่างไร โดยเราจะยื่นเงื่อนไขกับนายกรัฐมนตรีคนใหม่ว่าต้องทำหน้าที่ปกป้องประเทศชาติ หากไม่อยากเป็นนายกฯ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนต่างชาติ ก็ต้องไม่ทำเหมือนรัฐบาลอุ้งอิ้งค์ และในวันเดียวกันนี้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม จะไปประชุม GBC กับกัมพูชา และตนอยากบอกว่าท่านต้องทำหน้าที่แทนคนไทยทั้งปวง เอาความเสียหายของประเทศไทย คนไทย และทหารไทย ไปบอกกับกัมพูชาว่าต้องหยุดยิงเดี๋ยวนี้ หากไม่หยุดยิงตนให้เสนอว่าทหารไทยยิงมันเลย