ภาษีทรัมป์ล่าสุด ประเทศอาเซียนถูกเรียกเก็บเท่าไหร่ ใครลด-เพิ่ม
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศใช้อัตราภาษีแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่สูงอย่างมาก
ทั้งนี้ จากการประกาศดังกล่าวทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกแนวทางเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าส่งออกของหลายประเทศ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568
ส่วนประเทศที่ไม่มีชื่อในคำสั่งฉบับล่าสุดจะถูกเก็บภาษีพื้นฐานที่ 10% ซึ่งคำสั่งฉบับดังกล่าวเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากคำสั่งฝ่ายบริหารที่เคยประกาศใช้เมื่อเดือนเม.ย.
โดยก่อนหน้านี้หลายประเทศในอาเซียนถูกกำหนดอัตราภาษีในช่วง 25% ถึง 40% ภาษีที่ทำเนียบขาวประกาศล่าสุดถือว่าเป็นข่าวดีของหลายประเทศ เพราะภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือเพียง 19% สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง
อย่างไรก็ดี การบรรลุข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีเงื่อนไข หลายประเทศต้องทำข้อตกลงทางการค้าและลงทุนเพื่อแลกกับภาษีที่ลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การเจรจาของทรัมป์ที่มุ่งเน้นการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” จะพาไปตรวจสอบว่า แต่ละประเทศในอาเซียนถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีเท่าไหร่ ได้ลดหรือถูกปรับเพิ่ม และต้องแลกกับอะไรบ้าง
ไทย 19% ลดลงจาก 36%
ประเทศไทยสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ได้สำเร็จ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงจากเดิมที่เคยถูกกำหนดไว้ 36% เหลือ 19% โดยไทยได้ยื่นข้อเสนอสำคัญเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า เช่น การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐฯ ให้กว้างขึ้น และการให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาการส่งออกสินค้าของไทยที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ การบรรลุข้อตกลงยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่ไทยได้ลดภาษีเป็นผลมาจากการเจรจาทางการค้าโดยตรงมากกว่าการที่ไทยทำข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา
มาเลเซียจาก 25% เหลือ 19%
มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับข่าวดี โดยอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือ 19% จากที่ได้รับแจ้งอัตราภาษี 25% ในการร่อนจดหมายของทรัมป์เมื่อเดือนก.ค. ซึ่งขยับขึ้นจากอัตราเดิม 24% ที่ทรัมป์ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย.
การได้ปรับลดภาษีล่าสุดลงมาเหลือ 19% ทำให้มาเลเซียอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน นักวิเคราะห์ระบุว่า ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นหลังจากมาเลเซียได้พยายามอย่างหนักเพื่อเอาใจฝ่ายบริหารของทรัมป์ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลดีต่อมาเลเซีย เช่น การรับบทบาทเป็นคนกลางเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แสดงความขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียในเรื่องนี้
นอกจากนี้ มาเลเซียยังได้แสดงความร่วมมือในการปราบปรามการลักลอบนำเข้าและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ ให้ความสำคัญ การดำเนินการเหล่านี้เป็นผลมาจากการที่มาเลเซียมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเจรจาเพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่า 20% เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทางการค้า
เวียดนาม 20% ลดลงจาก 46%
เวียดนามถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่บรรลุข้อตกลงภาษีกับสหรัฐฯ ได้ก่อนเดดไลน์ 1 ส.ค. โดยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 20% ลดลงอย่างมากจาก 46% ที่ทรัมป์ประกาศไว้เมื่อเดือนเม.ย.
การลดภาษีดังกล่าวเป็นผลมาจากที่เวียดนามได้แสดงความตั้งใจที่จะจัดการกับการส่งออกสินค้าจีนผ่านเวียดนามเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ หรือสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) ซึ่งเป็นประเด็นที่สหรัฐฯ กังวลอย่างมาก
โดยสหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเวียดนามในอัตรา 40% หากพบว่าสินค้าดังกล่าวมีการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว เวียดนามจะเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เข้าประเทศได้โดยไม่มีกำแพงภาษี และได้ให้คำมั่นว่าจะซื้อผลิตภัณฑ์จากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของสินค้าพลังงาน การเกษตร และอื่นๆ การเจรจานี้เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่า เวียดนามกำลังพยายามรักษาสมดุลทางการค้าอย่างระมัดระวังท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน
ฟิลิปปินส์ 19% ลดลงจาก 20%
สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับฟิลิปปินส์ไว้ที่ 19% แม้ลดลงเพียงเล็กน้อยจากอัตราเดิม 20% แต่ก็ถือเป็นความสำเร็จทางการทูตสำหรับฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังจากการเดินทางเยือนทำเนียบขาวของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ และการเจรจาโดยตรงกับประธานาธิบดีทรัมป์ โดยทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่ระหว่างการสรุปรายละเอียดของข้อตกลง ซึ่งฝ่ายฟิลิปปินส์แสดงความตั้งใจที่จะเสนอการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าบางประเภทของสหรัฐฯ เช่น รถยนต์ เพื่อให้สหรัฐฯ เข้าถึงตลาดฟิลิปปินส์ได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า กลุ่มผู้ส่งออกแสดงความผิดหวังที่ปธน.มาร์กอสไม่ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวในการแถลงนโยบายประจำปีครั้งล่าสุด (31 ก.ค.) ทั้งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะมีการประกาศมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อบรรเทาผลกระทบ
เมียนมา 40% ไม่เปลี่ยนแปลง
เมียนมาจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% ซึ่งเท่ากับอัตราภาษีในจดหมายเมื่อวันที่ 7 ก.ค. แต่ลดลงจากอัตราเดิมที่ 44% เมื่อวันที่ 2 เม.ย.
โดยทำเนียบขาวให้เหตุผลที่เมียนมายังถูกเก็บภาษีในอัตราสูงว่า เป็นเพราะไม่มีการบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ แม้ว่าเมื่อเดือนก่อน พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ส่งจดหมายถึงปธน.ทรัมป์ โดยกล่าวชื่นชมและร้องขอให้ลดอัตราภาษีลงก็ตาม คาดว่าอัตราภาษีที่สูงนี้จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศให้รุนแรงขึ้น
ลาว 40% ไม่เปลี่ยนแปลง
ลาวเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในภูมิภาค โดยต้องเผชิญกับอัตราภาษีสูงถึง 40% เท่ากับอัตราภาษีในจดหมายที่ทรัมป์ส่งถึงผู้นำ 14 ประเทศเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งแม้ลดลงจากอัตราเดิม 48% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. แต่ก็ยังถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก
สำหรับสาเหตุที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงนี้ เป็นเพราะลาวไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับสหรัฐฯ ได้ทันกำหนด
ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนเม.ย. สภาการค้าและอุตสาหกรรมแห่งชาติลาว (LNCCI) ได้แสดงความกังวลอย่างยิ่งต่อผลกระทบที่จะเกิดกับภาคการส่งออก โดยชี้ว่าอัตราภาษีที่สูงนี้คุกคามทั้งการจ้างงานและการลงทุน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีสอนไซ สีพันดอน ได้เคยส่งจดหมายถึงประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนเม.ย. เพื่อชี้แจงความคลาดเคลื่อนของตัวเลขการค้าและเสนอให้มีการเจรจา
สิงคโปร์ 10% ไม่เปลี่ยนแปลง
สิงคโปร์ถือเป็นชาติอาเซียนที่อยู่ในจุดได้เปรียบ โดยอัตราภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสิงคโปร์ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ โดยอยู่ที่ 10% เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าที่แน่นแฟ้นและมูลค่าการค้าที่สมดุลกับสหรัฐฯ อยู่แล้ว
บรูไน 25% เพิ่มขึ้นจากเดิม 24%
บรูไนถือเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นจากอัตราเดิมเมื่อวันที่ 2 เม.ย. โดยขยับขึ้นจาก 24% เป็น 25%
ข้อมูลจากเว็บไซต์ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือ USTR ในปี 2567 มูลค่าการค้าระหว่างบรูไรกับสหรัฐฯ โดยรวมอยู่ที่ 366 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 สินค้าส่งออกหลักของบรูไนไปยังสหรัฐฯ ได้แก่ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ส่วนสินค้าหลักที่บรูไนนำเข้าจากสหรัฐฯ ได้แก่ เครื่องจักรและรถยนต์
อินโดนีเซีย 19% ลดลงจาก 32%
อินโดนีเซียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ ได้สำเร็จก่อนกำหนดเส้นตาย 1 ส.ค. ทำให้อัตราภาษีที่อินโดนีเซียถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ลดลงมาอยู่ที่อัตรา 19% จากเดิม 32% โดยข้อตกลงที่ประกาศเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ระบุเงื่อนไขแลกเปลี่ยนว่า สินค้าจากสหรัฐฯ กว่า 99% ที่ส่งไปยังอินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษี และอินโดนีเซียยังต้องยกเลิกอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ในหลายภาคส่วน เช่น สินค้าเกษตร ยานยนต์ และเทคโนโลยีอีกด้วย
นอกจากนี้ อินโดนีเซียยังให้คำมั่นที่จะสั่งซื้อพลังงานมูลค่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ และเครื่องบินโบอิ้งมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตลอดจนซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์
ข้อตกลงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ บรรลุเป้าหมายในการเปิดตลาดต่างประเทศและส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมอเมริกัน" ตามที่ทรัมป์มุ่งหวังไว้ และสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ ใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการเจรจาเพื่อผลักดันให้ประเทศคู่ค้าต้องทำตามข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม การเจรจายังไม่สิ้นสุด โดยรัฐมนตรีอาวุโสแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต เปิดเผยว่ายังคงมีการเจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อหวังให้อินโดนีเซียสามารถส่งออกน้ำมันปาล์มและโกโก้ในอัตราที่ต่ำลง หรือใกล้เคียง 0%
กัมพูชา 19% ลดลงจาก 36%
กัมพูชาเคยเป็นประเทศที่เผชิญกับอัตราภาษีสูงที่สุดในอาเซียนถึง 49% เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ก่อนได้รับจดหมายจากผู้นำสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ลดภาษีดังกล่าวลงมาเหลือ 36% และล่าสุดยังได้ปรับลดอีกครั้งจนมาอยู่ที่ 19% เท่ากันกับไทย อีกทั้งสถานการณ์ของกัมพูชายังไม่ต่างจากไทยเท่าไรนัก ในแง่ที่ว่าการได้ลดภาษีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกข้อตกลงทางการค้ากับทั้งสองประเทศ หากไม่ยุติความขัดแย้งบริเวณชายแดน