BAY ไตรมาส 2/68 กำไร 8,295 ล้าน ดันครึ่งปีแรก กำไร 15,829 ล้าน โต 0.5%
นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ธนาคารและบริษัทในเครือ มีกำไรสุทธิ 15,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567
ผลการดำเนินงานดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นผลจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลง สอดคล้องกับการปรับลดลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายและการลดลงของเงินให้สินเชื่อ
“ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนภาคเอกชน การบริโภค และความต้องการสินเชื่อ ธนาคารยังคงสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้นการบริหารต้นทุน พร้อมเสริมประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบริหารผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสม”
สำหรับไตรมาส 2/2568 ธนาคารและบริษัทในเครือ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 8,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เกิดจากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของธนาคารในการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินงานและการควบคุมต้นทุน
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวปีก่อน แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวลดลง กำไรสุทธิยังคงเพิ่มขึ้น 1.0% โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
วันที่ 30 มิ.ย.2568 เงินให้สินเชื่อรวมอยู่ที่จํานวน 1,866,038 ล้านบาท ลดลงจํานวน 29,831 ล้านบาท หรือ 1.6% จากสิ้นเดือ นธ.ค.2567 ทั้งนี้ จากยุทธศาสตร์เชิงรุกที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ส่งผลให้สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่เติบโตในระดับปานกลางที่ 2.8% ขณะที่สินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและสินเชื่อเพื่อรายย่อย ปรับลดลงที่ 4.0%และ 3.9% ตามลำดับ
จากความพยายามเชิงรุกในการบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพต้นทุนทางการเงิน ภายใต้บริบทที่ความต้องการสินเชื่อชะลอตัว ส่งผลให้เงินรับฝากรวมลดลง 19,782 ล้านบาท หรือ 1.1% จากสิ้นเดือน ธ.ค.2567 มาอยู่ที่ 1,802,447 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของเงินรับฝากประจำ
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 3.39% เทียบกับ 3.23% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2567 ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่รอบคอบระมัดระวังต่อเนื่อง ขณะที่อัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 217 เบสิสพอยท์ สะท้อนการรักษาระดับผลขาดทุนจากเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพียงพอและสอดคล้องต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยพิจารณาถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราส่วนเงินสํารองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ที่ 122.8% เทียบกับ 123.2% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2567
อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 19.57% เทียบกับ 19.38% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.2567