เยียวยาธุรกิจชายแดนไทย-เขมร
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้นำคณะเข้าพบเพื่อยื่นข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ว่าการแก้ไขปัญหาจะเน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมีมาตรการหลากหลายทั้งด้านภาษี การเงิน แรงงาน และการตลาด แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดทิศทางและจังหวะของการช่วยเหลือในพื้นที่ ต้องได้รับการประเมินสถานการณ์และความเห็นชอบจากฝ่ายความมั่นคงก่อน
“ภาคเอกชนและหอการค้าได้ร้องเรียนมานาน และสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลง จึงถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจแม้จะยังไม่มีตัวเลขประเมินความเสียหายโดยรวมที่ชัดเจน แต่ผลกระทบต่อแต่ละอุตสาหกรรมนั้นพอจะประเมินได้ โดยเฉพาะใน 7 จังหวัดหลักที่ได้รับผลกระทบ อาชีพหลักคือเกษตรกรรม เผชิญปัญหาทั้งเรื่องการจัดเก็บผลผลิตเนื่องจากขาดแคลนแรงงาน และปัญหาด้านช่องทางการตลาด นอกจากนี้ ภาคโรงแรมและร้านอาหารก็ประสบปัญหาไม่มีผู้เข้าใช้บริการ ทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องการจ่ายค่าแรง 400 บาท ขณะที่การค้าชายแดนใน 7 จังหวัดก็ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ”
นายพิชัยกล่าวว่า ในด้านแรงงานได้หารือการนำเข้าแรงงานเพิ่มจากประเทศต่างๆ เช่น บังคลาเทศและการหาแรงงาน ถ้ามีความชำนาญ ก็พร้อมจะจ่ายเพิ่มหากแรงงานไทยมีทักษะและความพร้อมในการทำงาน และจะสนับสนุนให้มีการจัดสัมมนาในพื้นที่ 7 จังหวัด โดยนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการจัดกิจกรรมจำหน่ายสินค้าเกษตร ซึ่งหอการค้าไทยมีแผนที่จะร่วมมือกับผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก และตลาดกลางต่างๆ เพื่อกระจายสินค้าเกษตรจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบออกไปทั่วประเทศ ในกรณีที่ยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือในพื้นที่ได้โดยตรง จะเน้นดึงสินค้าออกมาจำหน่ายนอกพื้นที่ก่อน
ส่วนมาตรการลดหย่อนภาษีมีอยู่หลายมาตรการ บางส่วนได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ และจะมีการพิจารณาทบทวนเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย การขอผ่อนผันการยื่นภาษี หรือการลดอัตราภาษีให้ครอบคลุมทุกด้าน ส่วนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำภาครัฐยินดีสนับสนุน และจะหารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อขอความร่วมมือด้วย
ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า สถานการณ์ในปัจจุบันว่า ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะใน 3 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคเกษตรกรรมที่กำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ภาคธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ที่โครงการต้องหยุดชะงัก และภาคการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงอย่างเห็นได้ชัดจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัย
ทั้งนี้ หอการค้าไทยได้นำเสนอมาตรการด้านแรงงานและการจ้างงานรวมทั้งสิ้น 7 ข้อ โดยเฉพาะการนำเข้าแรงงานทดแทนจากประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากแรงงานกัมพูชาที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะจาก สปป.ลาว และเมียนมา และจากบังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มาเสริมในระยะยาว และให้ผ่อนปรนการกลับเข้าประเทศของแรงงานกัมพูชาและลดค่าใช้จ่ายการขึ้นทะเบียนแรงงานใน MOU รอบใหม่ลง 50% รวมทั้งให้ชะลอการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 บาท สำหรับสถานประกอบการในธุรกิจโรงแรมและสถานบริการที่ได้รับผลกระทบ เสนอให้ปรับลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและผู้ประกันตนลงเหลือ 0.5% เป็นเวลา 1 ปี เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับธุรกิจ
นอกจากนี้ เสนอให้ธนาคารภาครัฐออกมาตรการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำฉุกเฉิน วงเงินไม่เกิน 50,000 บาทต่อครัวเรือนให้จัดตั้งกองทุนฟื้นฟูชายแดน วงเงิน 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว ขอให้ลดภาษีในส่วนของภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงภาษีป้ายลงถึง 90% เสนอให้ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายจาก 3% เหลือ 1% เป็นเวลา 1 ปี และขยายเวลาการยื่นแบบและชำระภาษีออกไปอีก 3-6 เดือนสำหรับทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เป็นต้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : เยียวยาธุรกิจชายแดนไทย-เขมร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ธีรรัตน์” สั่งเร่งสำรวจความเสียหาย–เยียวยาผู้ประสบภัยจากพายุ “วิภา” ต้องทั่วถึง
- งูเห่าหน้าใหม่โผล่เห็นชอบงบฯ 69 “ปริญญา-อนันต์” พปชร. - “ประภา” จากภท.เจ้าเดิม
- ทีมไทยแลนด์เร่งเคลียร์ก่อนถึงเส้นตาย ลุ้นภาษีทรัมป์เท่าภูมิภาค
- เยียวยาธุรกิจชายแดนไทย-เขมร
- ก.เกษตรฯ ปล่อยขบวนรถสิ่งของบริจาค ช่วยผู้ได้รับผลกระทบชายแดนไทยกัมพูชา
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath