“เกณฑ์ทหาร” ยังมีความสำคัญ
ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงอีกประเด็นหนึ่งกันอีกครั้ง สำหรับ การยกเลิกเกณฑ์ทหาร แล้วหันมาใช้บริการจากผู้ที่อาสาสมัครใจเข้ามาเป็นทหารแทน ท่ามกลางสถานการณ์ที่เปราะบางสุ่มเสี่ยงเผชิญหน้าการทำสงครามสู้รบอย่างไทยเราเช่นนี้
ด้วยข้ออ้างทางเหตุผลว่า กองทัพจะได้กำลังพลที่มีความสมัครใจในการปฏิบัติหน้าที่ได้ดีกว่ากำลังพลจากการเกณฑ์เข้ามา ที่ดูจะเป็นการบังคับให้ทำหน้าที่กันเสียมากกว่า
ทว่า ก็มีข้อถกเถียงจากทางอีกฝ่ายที่สนับสนุนการให้การเกณฑ์ทหารยังคงอยู่ว่า กองทัพไทยเรา ก็มีโครงการเปิดรับอาสาสมัครมาเป็นทหารระดับชั้นต่างๆ กันอยู่แล้ว ตั้งแต่พลทหาร นายทหารชั้นประทวน ไปจนถึงนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งทหารอาสาสมัครเหล่านี้ มาช่วยเติมเต็ม หรือทดแทนกำลังพลในกองทัพ สำหรับการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ด้านต่างๆ
พร้อมกับเน้นย้ำว่า การเกณฑ์ทหารภาคบังคับ ในไทยเรายังมีความจำเป็น ยิ่งสถานการณ์หน้าสิ่ว หน้าขวาน ที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ ณ เวลานี้ จำเป็นต้องมีกำลังพลในกองทัพอย่างเพียงพอสำหรับการปฏิบัติการ ส่วนประสิทธิภาพในปฏิบัติการจะดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะ และระบบการบริหารจัดการภายในกองทัพ ในอันที่จะก่อให้เกิดกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเหล่ากำลังพล
ว่ากันในส่วนของต่างประเทศ ก็ปรากฏว่า หลายประเทศหวนกลับมาให้ความสนใจกับการเกณฑ์ทหารกันอีกครั้ง
โดยบางประเทศยกเลิกไปแล้ว แต่ก็ต้องหวนมาปัดฝุ่น ออกกฎหมาย วางกฎระเบียบ สำหรับการเกณฑ์พลเรือนเข้าไปเป็นทหารของกองทัพกันอีกคำรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่อยู่ใกล้เคียงกับสมรภูมิสงคราม ด้วยความหวั่นเกรงว่า ไฟสงครามการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้าน จะลุกลามเผาไหม้เข้ามาในประเทศของตน
ยกตัวอย่างเช่นบรรดาประเทศที่อยู่รายรอบ และที่อยู่ใกล้ กับ “รัสเซีย-ยูเครน” อันเป็นสองประเทศที่กำลังสงคราม ซึ่งดำเนินมายืดเยื้อนานกว่า 3 ปีแล้ว หรือนับตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 (พ.ศ. 2565) เป็นต้นมา ถึง ณ ปัจจุบัน
สร้างความหวาดหวั่น ภัยคุกคามจากรัสเซียจะลุกลามมายังประเทศของตน จนต้องถึงขั้นนำการเกณฑ์ทหารหวนกลับมาบังคับใช้ใหม่อีกครั้ง
ไล่ไปตั้งแต่ “เยอรมนี” ซึ่งแม้ว่าอยู่ห่างจากรัสซีย โดยมีหลายประเทศขวางกั้น เช่น ยูเครน เบลารุส และโปแลนด์ เป็นต้น แต่เยอรมนี ก็มิอาจนิ่งนอนใจได้ เพราะถูกจัดให้เป็นหนึ่งในประเทศผู้สนับสนุนหลักของยูเครน ในการทำสงครามต่อต้านรัสเซีย ปรากฏว่า ทาง “นายฟรีดริช แมร์ซ นายกรัฐมนตรี” ก็ได้ออกมากล่าวเปรยๆ ว่า กองทัพบุนเดสแวร์ (ซึ่งก็คือกองทัพทางการทหารของเยอรมนี นั่นเอง) ต้องกลับคืนสู่ศูนย์กลางของสังคมเยอรมนีอีกครั้ง
พร้อมกันนั้น นายกรัฐมนตรีแมร์ซแห่งเยอรมนี เน้นย้ำว่า ถือเป็นความผิดพลาดทีเดียวเชียว ที่เยอรมนีระงับการเกณฑ์ทหารมานานนับสิบปี ทั้งนี้ การเกณฑ์ทหารภาคบังคับเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเยอรมนี เพื่อให้กองทัพมีกำลังพลในการปฏิบัติภารกิจหน้าที่ต่างๆ จำนวนอีกอย่างน้อย 60,000 นาย
“โปแลนด์” ประเทศที่มีพรมแดนติดกับยูเครน สมรภูมิรบ และติดกับ “คาลินินกราด” ดินแดนของรัสเซีย นอกแผ่นดินใหญ่ ริมทะเลบอลติก ปรากฏว่า อดีตนายกรัฐมนตรี โดนัลด์ ทัสก์ ก็ได้กล่าวถึงการหวนคืนการเกณฑ์ทหาร เพื่อให้มีกำลังพลในกองทัพจำนวนอย่างน้อย 1 แสนนายต่อปี สำหรับ รับมือภัยคุกคามที่อาจจะเกิดขึ้นจากรัสเซีย และกลุ่มติดอาวุธที่เป็นนักรบรับจ้างของรัสเซีย ที่เข้าไปฝังตัวอยู่ในเบลารุส อย่างกลุ่มนักรบวากเนอร์ ซึ่งโปแลนด์ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศผู้สนับสนุนที่สำคัญของยูเครน ในการทำสงครามต่อต้านรัสเซีย
“ฝรั่งเศส” ซึ่งได้ระงับการเกณฑ์ทหารไปเมื่อปี 1997 (พ.ศ. 2540) ในสมัยอดีตประธานาธิบดีฌาคส์ ชีรัก ครองเมือง ปรากฏว่า ฝ่ายการเมืองของฝรั่งเศส ณ ปัจจุบัน พร้อมทั้งประธานาธิบดีแอมานุแอล มาครง ก็กำลังอภิปรายถกเถียงถึงการนำการเกณฑ์ทหารหวนกลับมาใช้ใหม่ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ความมั่นคงอันไม่น่าไว้วางใจ
“เบลเยียม” ประเทศที่ถูกจัดให้ศูนย์กลางที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของหน่วยงานต่างๆ ในยุโรป และองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศ เช่น สหภาพยุโรป หรืออียู และองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ ก็ถวิลหาการนำการเกณฑ์ทหารกลับมาใช้ใหม่ หลังระงับไปเมื่อปี 1993 (พ.ศ. 2536)
“บัลแกเรีย” ประเทศที่ครั้งหนึ่งถูกจัดว่า มีกำลังมากที่สุดในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ก่อนกำลังพลหดหายไป กระทั่งไม่พอใช้งานในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ เพราะยกเลิกการเกณฑ์ทหารไปเมื่อปี 2008 (พ.ศ. 2551) จนต้องเริ่มกลับมาเกณฑ์พลเมืองให้มาเป็นทหารภาคบังคับกันอีกครั้ง
“โรมาเนีย” ซึ่งระงับการเกณฑ์ทหารภาคบังคับไปตั้งแต่ปี 2007 (พ.ศ. 2550) ก็ได้ตระหนักถึงความไม่เพียงพอของกำลังพลทหารที่จะนำมาใช้งานปฏิบัติหน้าที่ จนต้องกลับมาเกณฑ์ทหารกันใหม่ ควบคู่ไปกับการเปิดโครงการรับอาสาสมัคร เพื่อให้มีกำลังพลในกองทัพเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน
ไม่เว้นกระทั่ง “โปรตุเกส” ประเทศที่อยู่อีกฟาก ริมฝั่งตะวันตกของทวีปยุโรป ห่างไกลจากรัสเซีย ก็ได้อภิปรายถึงการกลับมาเกณฑ์ทหารภาคบังคับกันอีกครั้ง หลังจากยกเลิกการเกณฑ์ไปเมื่อ2004 (พ.ศ. 2547) โดยโปรตุเกส ต้องการกำลังพลทหารจากเกณฑ์ดังกล่าว มาสนธิกำลังทำงานร่วมกับทหารอาสาสมัคร ที่มีจำนวนไม่เพียงพอ หากเกิดการเผชิญหน้ากับภัยสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง