ก่อนเพิกถอน “เขากระโดง”
ปัญหาเรื่องที่ดินเขากระโดง ยังเป็นปมร้อน หลัง “กระทรวงมหาดไทย” ภายใต้การดูแลของ"นายภูมิธรรม เวชยชัย" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และรักษาการแทนนายกฯ สั่งเดินหน้าเพิกถอน พร้อมทั้งโยนให้เป็นอำนาจของ อธิบดีกรมที่ดิน และ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ตนเองไม่มีอำนาจจัดการ
ด้าน "นายชนินทร์ แก่นหิรัญ" ทนายความคดีพิพาทที่ดินเขากระโดง เปิดเผยว่า ขอเรียนชี้แจงนายภูมิธรรม เรื่อง“พระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์ กับที่ดินเขากระโดง” ว่า ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และเอกสารราชการสมัยรัชกาลที่ 5 ยืนยันชัดเจนว่า พระองค์ไม่เคยมีพระราชประสงค์ จะยกที่ดินเขากระโดงทั้งหมดให้กรมรถไฟหลวง หรือ รฟท. ครอบครองอย่างเบ็ดเสร็จ โดยพระราชดำริเมื่อ พ.ศ. 2451 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำริผ่านเจ้ากรมโยธาธิการ ตามคำขอของเจ้ากรมรถไฟ ว่าพื้นที่สองข้างทางรถไฟ ควรใช้เท่าที่จำเป็น ข้างละประมาณ 20 วา (ราว 40 เมตร) เขตสถานีไม่เกินข้างละ 40 วา (ราว 80 เมตร) ส่วนพื้นที่รกร้างนอกเหนือจากนี้ที่ขอข้างละ 5 เส้น (ราว 200 เมตร) พระองค์ “ไม่เห็นชอบ” และให้ยกเลิกข้อเสนอแนะท่านรัฐมนตรี อาจได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน จึงควรเปิดใจรับฟังหลักฐาน ประวัติศาสตร์ และ ข้อกฎหมาย อย่างรอบด้าน การตัดสินใจและการสื่อสารต่อสาธารณะควรตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความเชื่อที่เกิดจาก “ใบสั่ง” หรือคำบอกเล่าฝ่ายเดียว
“การพิสูจน์สิทธิในที่ดิน ต้องทำในศาล ด้วยพยาน หลักฐาน ที่ครบถ้วน และหากมีข้อเท็จจริงหรือหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยถูกนำเข้าสู่คดีเดิม ควรใช้เป็นฐานในการพิจารณาอย่างเปิดเผย โปร่งใส และเป็นธรรม” ทนายคดีเขากระโดง กล่าว
ด้าน"นายศุภชัย ใจสมุทร" ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โพสต์ข้อความกรณีที่ นายบุญเชิด คิดเห็น อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ออกมากล่าวถึง การตั้งคณะกรรมการ ตามมาตรา 61 ว่านายบุญเชิด ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านสื่อ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า กรณีที่ดินเขากระโดง ไม่ต้องดำเนินการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน อธิบดีกรมที่ดินสามารถ ใช้อำนาจเพิกถอน เอกสารสิทธิได้ทันที วันเดียวก็จบ ซึ่งความคิดเห็นของอดีตอธิบดีคนนี้ ถูกนำไปเผยแพร่อย่างมากมาย
แต่เอกสารที่นำมาแสดง เป็นหลักฐาน อีกด้านหนึ่ง ซึ่งตรงกันข้ามกับความเห็นของ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน เพราะนายบุญเชิดตอนดำรง ตำแหน่งอธิบดีกรมที่ดิน ในปี พ.ศ.2555 ได้เห็นชอบกับการตั้งคณะกรรมการตามมาตรา 61 และเห็นชอบว่า ไม่เพิกถอนโฉนดที่ดิน และเห็นชอบด้วยว่า รฟท. ต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลเป็นรายๆ ไป หากเห็นว่ามีผู้มีเอกสารสิทธิทับซ้อนที่ดินการรถไฟ ซึ่งความเห็นชอบของอธิบดีกรมที่ดินในวันนั้น กับความเห็นของ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน ในวันนี้ ซึ่งเป็นคนๆ เดียวกัน ในกรณีเดียวกัน กลับแตกต่างกันคนละด้านอย่างสิ้นเชิง
สำหรับปัญหาที่ดินเขากระโดง เคยมีการ ตั้งคณะกรรมการ มาตรา 61 มาตรวจสอบ 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 52 และ วันที่ 18 ต.ค. 67 ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง มีคณะกรรมการมติเหมือนกัน คือ ไม่มีเหตุผลเพิกถอนเอกสารสิทธิ ด้วยเหตุผลสำคัญเหมือนกัน คือ รฟท. ไม่มีแผนที่ ท้ายพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)
นอกจากนี้ยังพบเอกสารวันที่ 27 ก.ย. 2564 ที่ นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีที่ดิน ในขณะนั้น ได้ทำหนังสือ ที่ มท. 0516.2/3530 ถึงผู้ว่า รฟท. เรื่อง ขอให้เพิกถอนโฉนดที่ดินที่ออกทับที่ดินของ รฟท. เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ และที่ดินแปลงอื่น ๆ ที่ออกทับซ้อนที่ดินของรฟท.บริเวณเขากระโดง ซึ่งศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษา ที่ 862-876/2560 ลงวันที่ 16ก.พ. 2560 และที่ 8027/2561 ลงวันที่ 22 พ.ย. 2561 วินิจฉัยแล้วว่า ที่ดินตามแผนที่ เนื้อที่ประมาณ 5,083 ไร่ 1 งาน 80 ตารางวา เป็นของ รฟท. กรณีดังกล่าว กรมที่ดินได้มีคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1556/2550 ลงวันที่ 29 พ.ค. 2550 และที่ 163/2552 ลงวันที่ 29 ม.ค. 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินไปแล้ว
เนื่องจาก รฟท. ไม่สามารถหาแผนที่ แนบท้าย พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นเพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ. 2464 มาประกอบการพิจารณา คณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า เมื่อ รฟท. ไม่สามารถจัดส่งหลักฐานแผนที่ ประมาณที่กำหนดแนวเขตทางรถไฟเพื่อสำรวจและทำการสงวนหวงห้าม ตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตสร้างทางรถไฟ ต่อจากนครราชสีมาถึงอุบลราชธานี พ.ศ. 2462 มาประกอบการพิจารณา ได้ และพยานหลักฐานอื่น ๆ ตามที่ รฟท.ไ ด้จัดส่งให้กรมที่ดินก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าที่ดินบริเวณดังกล่าว เป็นที่ดินที่มีการ สำรวจเสร็จแล้ว และมีการสงวนหวงห้ามเข้าใช้ประโยชน์ตาม พ.ร.ฎ.กำหนดเขตฯ กรมที่ดินจึงไม่สามารถดำเนินการ เพิกถอนโฉนดที่ดิน ทั้งสองแปลงได้
ปัญหาเรื่อง ที่ดินเขากระโดง เชื่อว่าทั้งกรมที่ดิน และผู้ที่ได้รับการเพิกถอน ต้องหาหลักฐานมาต่อสู้กันเต็มที่ โดยเฉพาะข้อมูลภาครัฐในอดีตและปัจจุบัน มีความแตกต่างกัน หรือไม่ รวมทั้งชาวบ้านที่มีเอกสารสิทธิในการครอบครอง จะได้รับความเป็นธรรมแค่ไหน
ส่วนกระบวนการเข้าชื่อของ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 1 ใน 10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือ 20 คน ได้เข้าชื่อต่อ “นายมงคล สุระสัจจะ” ประธานวุฒิสภา เพื่อขอให้ส่งคำร้องไปยัง ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) เพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพการเป็น สว. จำนวน 136 คนสิ้นสุดลง เนื่องจากมีข้อหาต่าง และกำลังตรวจสอบจาก คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่กลับพบว่ามีการปลอมลายเซ็น และมีการถอนรายชื่อออก จนทำให้รายชื่อไม่ครบนั้น
ด้าน “น.ต.วุฒิพงศ์ พงศ์สุวรรณ” สว.กลุ่มอิสระ ออกมาให้ความเห็นกรณีมี สว.จำนวนหนึ่งอ้างว่าถูกปลอมลายเซ็น เพื่อ ยื่นต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ส่งเรื่องไปยังศาล รธน. ว่า เดี๋ยวจะให้เซ็นใหม่เอาหลักฐานไป เซ็นต่อหน้าสื่อมวลชนเลย ส่วนคนที่ออกมาร้องเรียน หรือจะฟ้องร้อง ก็ให้เขาฟ้องไป ไม่มีปัญหา การส่งเอกสารก็ส่งไปให้แต่ละคนเซ็นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ออกมา เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ตนก็งงเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถามว่ายืนยันว่าลายเซ็นทั้งหมด เป็นลายเซ็นจริง หรือไม่ น.ต.วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ยืนยันไม่ได้ เพราะการเอาไปให้แต่ละคน ก็มีทีมดำเนินการ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องลับตั้งแต่ต้น เมื่อเขาเอาไปให้เซ็นแล้วก็ส่งกลับมารวมกัน ของตน ก็ได้รับแบบเดียวกัน และเซ็นไป ตนไม่ได้เป็นคนจัดการ รวบรวมรายชื่อ แต่ทุกคนร่วมมือกันคนละไม้คนละมือ เพราะ เราเป็น สว.อิสระ ไปบังคับใครไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นก็เอาเรื่องนี้เป็นบทเรียน เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเราอยู่ที่วันที่ 13 ส.ค. หรือ ช่วงสัปดาห์หน้า อยู่แล้ว ซึ่งจะมีการเตรียมรายชื่อใหม่อีกครั้ง ในความเป็นจริงเรามี รายชื่อครบอยู่แล้ว แต่มันก็มีการข่มขู่กันเกิดขึ้น ซึ่งเชื่อว่าประชาชน และสื่อคงเข้าใจดีอยู่แล้ว
น.ต.วุฒิพงศ์ กล่าวต่อว่า สว.กลุ่มอิสระ มีทั้งหมดเกือบ 60 คน บางคนเขาก็ยังรอดู รอกำลังใจ เพราะตอนนี้มีการข่มขู่กันแบบอุตลุด ทั้งทางไลน์ และ ช่องทางต่างๆ โดยหลักการเมื่อยื่นรายชื่อไปแล้ว มันถอนไม่ได้ แต่เมื่อมีการอ้างว่า ปลอมลายเซ็น ก็ว่ากันไป แต่ในส่วนของตนดูเอกสาร อ่านรายละเอียดเข้าใจแล้วก็เซ็น เพราะมันเป็นความจริงที่สังคมเข้าใจได้อยู่แล้ว ประชาชนก็เห็นแล้ว จึงพูดว่ามองจากดาวอังคารก็เห็นได้เลยว่า ต้องควรทำอย่างไร การที่เรายื่นเรื่องไปนั้น เราไม่ได้ให้เขาหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปเลย แต่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ได้พิจารณาเรื่องที่ อนุกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดที่ 26 ได้พิจารณาแล้วเสร็จ และส่งไปให้เร่งรัดการดำเนินการ ในระหว่างนี้ถ้าไม่หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็ให้หยุดการสรรหาองค์กรอิสระไปก่อน ขอให้ศาล รธน. ช่วยพิจารณา อย่าให้พวกเราต้องไป สรรหาองค์กรอิสระ เพื่อจะมาตัดสินเราเองเลย
“อยากให้กำลังใจ คนที่ยังไม่ได้ตัดสินใจ ก็ให้ตัดสินใจได้ เรื่องนี้เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง เพราะเราเป็น สว. อยู่แล้ว ให้หยุดก็อาจจะทำงานไม่ได้ ด้วยซ้ำไป แต่เราต้องการให้ทุกคนได้เคลียร์ปัญหาที่ประชาชนส่วนใหญ่คาใจ เวลาไปตลาดก็มีคนถามว่าเราเป็น สว.ฮั้ว หรือเปล่า ไปงานเลี้ยงรุ่นเขาก็ถาม อธิบายจนปากฉีกถึงใบหู เขาก็ไม่เข้าใจ ทุกคนเข้าใจว่า สว.ชุดนี้เป็น สว.ฮั้วทั้งหมด ซึ่ง สว. โดยหลักการต้องเป็นอิสระ เรื่องนี้จึงต้องตัดสินด้วยกระบวนการยุติธรรม และเชื่อว่า ความยุติธรรมมีจริง ในโลก ถ้าผิดก็ต้องรับผิด ถ้าถูกก็เป็นต่อ และจะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเราไม่ผิด และ สามารถทำงานต่อได้ อย่างเต็มที่ จะได้ไม่มีใครมาขัดขวางว่าเราทำเพราะอย่างนี้ หรือมีใบสั่ง จากดินแดนบางแห่ง” น.ต.วุฒิพงศ์ กล่าว
ต้องรอดูกระบวนการตรวจสอบรายชื่อ ใครปลอมลายเซ็น จะมีการดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือไม่ รวมทั้งการล่าชื่อ ให้ครบ 20 คน จะทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะการลงนามต่อหน้าสื่อ เพื่อให้ช่วยเป็นสักขีพยาน
ทีมข่าวการเมือง