การเจรจา ‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก’ ล้มเหลว หลังมีการเสนอการจัดการพลาสติกครบวงจร ควบคุมตั้งแต่การผลิต บริโภค และการจัดการขยะ
การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกครั้งล่าสุดยังคงหาทางออกไม่ได้ว่า ควรควบคุมการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และกำหนดกฎหมายที่มีผลผูกพันทั่วโลกเพื่อควบคุมสารเคมีที่เป็นพิษที่ใช้ในการผลิตพลาสติกหรือไม่
การเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ครั้งที่ 5.2 (INC-5.2) ณ กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 5-14 สิงหาคม 2568 มีตัวแทนจาก 184 ประเทศ ทั้งนักวิทยาศาสตร์ ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม และภาคประชาสังคม ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเนื้อหาของร่างสนธิสัญญา และผลักดันให้เกิดข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันทางกฎหมายในการยุติวิกฤตมลพิษจากพลาสติก
Luis Vayas Valdivieso ประธานคณะกรรมการเจรจาได้จัดทำร่างข้อตกลง 2 ฉบับที่กรุงเจนีวา โดยอ้างอิงจากมุมมองของผู้เข้าร่วมประชุมครั้งที่ผ่านมา แต่ตัวแทนจาก 184 ประเทศครั้งนี้ ไม่เห็นชอบที่จะใช้ร่างฉบับใดฉบับหนึ่งเป็นพื้นฐานในการเจรจาเลย ดังนั้น การประชุมครั้งนี้จึงจบลงด้วยการที่ผู้แทนแต่ละประเทศต้องกลับบ้านโดยไม่มีความคืบหน้าใด
โดยร่างฉบับล่าสุดได้เพิ่มเติมประเด็นการผลิตและการบริโภคพลาสติกเกินขีดความสามารถในการจัดการขยะในปัจจุบัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งจำเป็นต้องมีนโยบายและประสานงานกันในระดับโลกเพื่อหยุดยั้งปัญหาเหล่านี้
Palau ตัวแทนของกลุ่มรัฐเกาะเล็กกำลังพัฒนา (SIDS) 39 ประเทศ แสดงความไม่พอใจในการลงทุนทรัพยากรและบุคลากรไปกับการเจรจาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ต้องกลับบ้านโดยไม่มีความคืบหน้าที่ไปบอกประชาชน และมองว่าเป็นเรื่องไม่ยุติธรรมที่กลุ่มประเทศ SIDS ต้องเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมโลกอีกครั้ง ทั้งที่กลุ่มรัฐของพวกเขามีส่วนในการทำให้เกิดมลภาวะน้อยมาก
เช่นเดียวกับผู้แทนจากประเทศใหญ่อย่าง นอร์เวย์ ออสเตรเลีย ตูวาลู และประเทศอื่น ๆ ที่รู้สึกผิดหวังเมื่อต้องกลับประเทศของตนโดยยังไม่มีข้อตกลงใด ๆ
Jessika Roswall กรรมาธิการยุโรป กล่าวถึงความคาดหวังของสหภาพยุโรปและประเทศสมาชิกการประชุมครั้งนี้ โดยมองว่าแม้ร่างข้อตกลงฉบับนี้จะยังไม่สมบูรณ์พอที่จะผ่านเป็นสนธิสัญญาในตอนนี้ แต่ก็มีส่วนที่ดีพอที่จะเป็นฐานในการใช้เจรจาครั้งต่อไป ซึ่งเธอมองว่าเราทุกคนล้วนต้องมีส่วนในการดูแลโลกใบนี้ให้คนรุ่นหลัง
การเพิ่มเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ ‘การผลิตพลาสติก’ ทำให้ผู้แทนจากซาอุดิอาระเบียและคูเวตมองว่าเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือขอบเขตสนธิสัญญา ขณะที่ผู้เจรจาจากซาอุดีอาระเบียยังมองว่าร่างสองฉบับนี้ยังขาดความสมดุลในหลายมิติ
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา คือ การปรับปรุงเพื่อระบุข้อตกลงพื้นฐานที่ครอบคลุม การจัดการวงจรพลาสติกทั้งหมด โดยประเด็นใหญ่ที่สุด คือ ควรมีการกำหนดเพดานการผลิตพลาสติกใหม่หรือไม่ หรือควรมุ่งเน้นไปที่การออกแบบที่ดีขึ้น การรีไซเคิล และการนำกลับมาใช้ใหม่แทน
แต่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซรายใหญ่ รวมถึงอุตสาหกรรมพลาสติกได้คัดค้านการจำกัดการผลิต โดยต้องการให้สนธิสัญญาเน้นไปที่การจัดการขยะและการนำกลับมาใช้ใหม่ที่ดีขึ้น
ทุกวันนี้ โลกของเราผลิตพลาสติกใหม่มากกว่า 400 ล้านตัน/ปี และอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 70% ภายในปี 2040 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย ขณะที่ประมาณ 100 ประเทศต้องการจำกัดการผลิต และหลายประเทศมองว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องจัดการกับสารเคมีที่เป็นพิษที่ใช้ในการผลิตพลาสติกด้วย
อ้างอิงจาก
https://www.sdgmove.com/2025/08/07/inc-5-2-plastic-treaty-geneva/
https://www.theguardian.com/environment/2025/aug/15/plastic-pollution-talks-geneva-treaty
#Brief #TheMATTER #สิ่งแวดล้อม #พลาสติก