โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

สื่อสารเพื่อสันติ ไม่ใช่เพื่อยอดวิว มองบทบาทสื่อและอินฟลูฯ ในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กับ อ.สมัชชา นิลปัทม์

The MATTER

อัพเดต 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • Politics

แม้ว่าขณะนี้ไทยและกัมพูชาจะลงนามและยึดมั่นข้อตกลงร่วมกันอย่างเคร่งครัด ในการหยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม ที่ผ่านมา

แต่การฟาดฟันกันบนโซเชียล ไม่ว่าจะระหว่างฝ่ายไทยกับกัมพูชา หรือแม้แต่ฝ่ายไทยด้วยกันเองยังคงคุกรุ่นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากที่ผ่านมาตัวละครที่ถือมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารและแสดงความเห็นมีมากมาย ทั้งภาครัฐ สื่อมวลชน นักวิชาการ หรือแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์

ข่าวสารและความเห็นที่ล้นทะลักส่งผลให้เกิดการถกเถียงกันในสังคมถึงสิ่งที่ ‘ควรทำ’ และ ‘ไม่ควรทำ’ ในห้วงความขัดแย้งดังกล่าว รวมถึงบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ ที่บางครั้งเกิดการตั้งคำถามถึงความเหมาะสมว่า “ความเห็นของพวกเขายิ่งเป็นการสร้างความขัดแย้งและความเกลียดชังหรือไม่”

The MATTER คุยกับ ผศ.สมัชชา นิลปัทม์ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาการสื่อสารสันติภาพ คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ถึงการสื่อสารในภาวะความขัดแย้งว่าควรมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เพื่อนำไปสู่สันติมากกว่าการเติมไฟให้เกิดความเกลียดชังมากขึ้น

สื่อมวลชนควรวางตัวอย่างไร ท่ามกลางห้วงเวลาของความขัดแย้ง

ข่าวสารมี function ของมัน ส่วนใหญ่เราจะรับข้อมูลข่าวสารเพื่อที่จะรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแต่ละวัน ที่ถือเป็นเรื่องที่เราฟัง เรารู้ไป ก็งั้นๆ แหละ แต่ในโลกสมัยใหม่ข่าวที่เราเสพกันอยู่ทุกวัน มักมาจากรายการเล่าข่าว เพราะว่าโลกของเราไม่อ่านหนังสือพิมพ์แล้ว หรือไม่ต้องการที่จะจริงจังในการรับข้อมูลข่าวสารขนาดนั้นแล้ว

เราก็ฟังในฐานะที่มันก็เป็นเรื่องเล่าแบบหนึ่ง สร้างความบันเทิงแบบหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันข่าวส่วนใหญ่ตอนนี้ ก็มีบทบาทเป็นแค่สินค้าแบบหนึ่ง เพราะว่าเขาสนใจว่าข่าวที่เขาจะเลือกมานำเสนอ มีคุณค่าของข่าวอยู่หรือไม่ แต่ส่วนใหญ่คุณค่าอย่างหนึ่งที่มักถูกเอามาใช้โดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ก็คือข่าวเรื่องนี้มันมีคนสนใจหรือเปล่า รวมไปถึงถ้าคุณอยู่บนสื่อใหม่ ก็ต้องสนใจเรื่องของ engagement ยอดวิวอะไรต่างๆ

พอเป็นแบบนี้การรายงานข่าวสารที่เต็มไปด้วยอคติ มันจะถูกทำให้เป็นประเด็นรอง ขณะที่ข่าวอันไหนที่มีสีสัน เรียกยอดเอนเกจเมนต์ได้มากกว่า อันนั้นจะถูกหยิบยกขึ้นมามากกว่า

โดยสรุปแล้ว ข่าวมันมีฟังก์ชั่นหรือบทบาทหน้าที่ของมัน หากลองย้อนถามตัวเองว่าเราเสพข่าวไปทำไม ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าเพื่อรู้ถึงเหตุการณ์ว่าแต่ละวันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง บางทีการเสพข่าวอาจเป็นไปเพื่อความบันเทิงเสียด้วยซ้ำผ่านเรื่องเล่า การบอกเล่า ในแบบละคร มีความดราม่าตามมา ซึ่งตัวแปรที่สำคัญมันทำหน้าที่ในฐานะสินค้า (commodification) รวมถึงสร้างเอนเกจเมนต์ในโลกสื่อสังคมออนไลน์

แบบที่สองอันนี้สำคัญ และจริงๆ เป็นหัวใจของงานวารสารศาสตร์เลยคือ การรายงานความจริง เราในฐานะผู้เสพข่าว รับรู้มันไปเพื่ออะไร สิ่งที่สำคัญมากๆ เลยคือ เพื่อการตัดสินใจเพราะมนุษย์ต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การเอาชีวิตรอด เพื่อการมีชีวิตที่ดี เป็นการตัดสินใจบนข้อมูลมากกว่าการใช้ความรู้สึก

ให้นึกถึงเปรียบเทียบว่าถ้าคุณเป็นนักธุรกิจ นักลงทุน คุณต้องการข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ถึงวงใน คุณถึงจะตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าคุณทำงานความมั่นคง คุณต้องการข่าวกรองที่มีคุณภาพ ขนาดของภัยคุกคาม ขนาดของข้าศึก ที่ตั้งต่างๆ คุณถึงจะชนะสงครามได้ ดังนั้นคำถามที่ตามมาก็คือ แล้วประชาชนในภาวะวิกฤต ก็ต้องการข้อมูลที่แม่นยำด้วยเช่นกันหรือเปล่า ถึงจะเอาตัวรอดได้

Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP

ซึ่งนำไปสู่ประเด็นที่เรามองกันว่าทำไมสื่อถึงถดถอย อย่างไรก็ดี ก็มีสื่อที่ยังคงรักษาแนวทางมืออาชีพเอาไว้ ที่เรียกว่า professional หรืออีกสำนักหนึ่งที่เรียกว่าการสื่อสารในภาวะวิกฤต หรืออีกสำนักหนึ่งเรียกว่า 'วารสารฯ เพื่อสันติภาพ' ที่จะสนใจบทบาทในฐานะสื่อ รู้และตระหนักดีว่าเรามีผลต่อความขัดแย้งอย่างไร

ผมขอพูดหลักการพื้นฐาน 2 ประการในทางวารสารศาสตร์ เพราะส่วนใหญ่เวลามีความขัดแย้ง มักมีธงในใจว่าผมจะพูดแต่เรื่องวารสารศาสตร์สันติภาพ จริงๆ เราควรเข้าใจใน 2 ระนาบ คือ หลักการวารสารศาสตร์ทั่วไป กับวารสารศาสตร์สันติภาพ วารสารศาสตร์เอาแบบมืออาชีพเลย คือ หลักความจริงที่แท้จริง การเข้าถึงความจริง

คือถ้าการกระทำของเราบางอย่าง มันเพิ่มอุณหภูมิของความขัดแย้ง หรือมันขยายความขัดแย้ง เราก็จะเลี่ยงที่จะทำสิ่งนั้นซะ ซึ่งมันนำมาสู่มุมมองของข่าวสารด้วยว่า เราจะต้องรายงานสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริง แต่ก็เถียงได้อีกว่า ความจริงแบบไหน ความจริงยังไง ซึ่งความจริงตรงนี้ของเราคือมันจะต้องไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง เพราะเราตระหนักดีว่าข่าวสารที่คนต้องการโดยเฉพาะในภาวะวิกฤต จริงๆ แล้วคือความจริงในลักษณะที่เป็นข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ

ข้อมูลทุกอย่างมันรอบด้านมากพอไหม ข้อมูลแม่นยำมากพอที่จะพาตัวเรารอดได้ไหม เหมือนกับเวลาต้องเผชิญภัยพิบัติ ทุกคนก็ต้องการจะรู้ว่าข้อมูลแบบไหน ที่ใช้ได้จริงๆ เราจะไม่สนใจข้อมูลอื่นเลย เราจะสนใจเฉพาะข้อมูลที่นำไปสู่การเอาชีวิตรอด เช่น ศูนย์อำนวยการอยู่ตรงไหน เขารับบริจาคของที่ไหน เราจะได้ไปถูก เราจะได้ตัดสินใจถูก เราจะได้พยากรณ์ชีวิตถูก

แต่ว่าในห้วงเวลาความขัดแย้งแบบนี้ ส่วนใหญ่เราจะไม่เห็นข้อมูลในลักษณะนี้ จนนำไปสู่คำถามว่า “เฮ้ย เราคนธรรมดา เราจะตัดสินใจได้ยังไง เราซึ่งไม่ได้อยู่หน้างาน เราจะทำอะไรได้บ้าง เราจะสนับสนุนแง่ไหนได้บ้าง” ซึ่งเราทุกคนจะไม่ค่อยเห็นข่าวสารในลักษณะแบบนี้เท่าไร

คุณคิดเห็นอย่างไร กับการนำคำว่า “เขมรชั่ว เขมรเนรคุณ” มารายงานบนหน้าสื่อ

ถ้าเราจะต้องเป็นคนซึ่งกุมทิศทางในการสื่อสาร หรือว่าเราต้องปฏิบัติงานในฐานะนักปฏิบัติการสื่อสาร ซึ่งอยู่หน้างาน เราจะต้องไม่ขยายความขัดแย้งใช่ไหม

แต่ส่วนนี้เขาอาจจะไม่รู้ เขาอาจจะไม่ได้จงใจหรือไม่ได้นึกหรือเปล่า หรือว่าเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไร เขาอาจจะรู้สึกแค่ว่าฉันก็ทำหน้าที่ของฉัน ฉันเป็นสมาชิกของชาติ เขาอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ว่า สิ่งนี้มันอาจกลายเป็นสิ่งที่นำมาสู่การสร้างความเกลียดชัง นำมาสู่การขยายความขัดแย้ง ซึ่งส่วนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าหลังหยุดยิงกันไปแล้ว จะต้องกลับเข้ามาสู่โต๊ะ กลับมาสู่การคืนดี มันจะคืนดีกันได้ยังไง เพราะไม่ใช่แค่ยิงกันแล้วจบไง

ประเด็นที่สองก็คือว่า เนื่องจากโลกซึ่งมีความหลากหลายในทางการสื่อสาร มันมีตัวละครใหม่ๆ ในพื้นที่การสื่อสาร เพราะเทคโนโลยีทำให้ทุกคนกลายเป็นสื่อ ทุกคนมีสื่อในมือ แต่อาจไม่ได้มีชุดค่านิยมบางอย่าง เช่น คิดว่าทำด้วยความปรารถนาดี แต่ผมมองว่ามันนำมาสู่การถอยกลับของวิธีคิดของพวกเรา

แม้ว่าเรารู้สึกว่าทุกคนเป็นสื่อได้ ใครก็ทำได้ แต่เอาเข้าจริงในห้วงเวลาแบบนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่มันจะต้องย้อนกลับมามอง คือสิ่งที่เรียกว่า 'ความเป็นมืออาชีพของสื่อมวลชน' ที่ต้องกลับเข้ามาสู่หลักการพื้นฐานของการรายงานข่าวเบื้องต้นก็คือ ความถูกต้อง แม่นตรง (accuracy) ต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสมดุล คือการรายงานที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด จะต้องรายงานทั้งสองฝั่ง จะต้องเปิดพื้นที่ให้กับฝ่ายตรงกันข้าม แม้ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยก็ตาม ซึ่งอันนี้เราเรียกมันว่า ความเป็นธรรม (fairness)

ผมคิดว่าค่านิยมเหล่านี้มันต้องเรียกถูกกลับมา แล้วยิ่งต้องถูกใช้มากขึ้นในห้วงเวลาซึ่งเป็นภาวะแบบนี้ ถ้ากลับเข้ามาสู่หลักการเหล่านี้ได้ ภาวะที่เถียงกันว่ามันจะลดอคติได้ไหม ถ้าดูหน้าที่และองค์ประกอบของมัน มันก็จะช่วยลดโดยตัวของมันนะ ซึ่งส่วนนี้ผมไม่คาดหวัง และก็ไม่ตำหนิคนที่อยู่หน้างาน เขาอาจจะทำโดยรู้หรือไม่รู้ ไม่เข้าใจก็ได้ แต่ผมคิดว่าสำหรับคนซึ่งอยู่ใน position ที่เรียกตัวเองว่าสื่อมืออาชีพ สื่อสาธารณะ จำเป็นที่จะต้องกลับเข้ามาสู่หลักการเหล่านี้

ด้านหนึ่งคือผมคิดว่าเราอาจต้องกลับเข้ามาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ตัวองค์กรสื่อ รวมไปถึงโครงสร้างขององค์กรต่างๆ ระดับบรรณาธิการว่าเขาอาจต้องให้ความสำคัญกับทิศทางข่าวสารในรูปแบบใหม่มากกว่าเน้นในเรื่องของเอนเกจเมนต์หรือความนิยมของข่าวสาร

ผมคิดว่าอันนี้มันอาจจะต้องถอยกลับมาตั้งหลัก ผมคงไม่โทษตัวคนทำงานหน้างานอย่างเดียว มันอาจจะเกินความสามารถของคนหน้างาน ซึ่งก็ยุ่งมากพออยู่แล้วในการเข้าถึงความจริง เข้าไปแสวงหาความจริง

เท่ากับว่าผมไม่ค่อยกังวลกับตัวผู้สื่อข่าว ผมสนใจต่อระดับโต๊ะข่าวขึ้นไป จนไปถึงบรรณาธิการ สิ่งนี้เป็นปัญหาในระดับโครงสร้าง ทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะตัวนักข่าวจะมีข้อจำกัดบางอย่าง ในการเข้าถึงความจริง จะมีกรอบบางอย่าง เช่น นักข่าวหน้างาน ถ้าคุณต้องรายงานการสู้รบ มันยากที่คุณจะเห็นมุมมองจากฝ่ายตรงข้ามกรอบ (frame) การรับรู้ของคุณไปไม่ถึงแนวหน้าสุดเสียด้วยซ้ำ มันไม่ง่าย ยิ่งเวลาแบบนี้ ปัญหาของ patriotism mindset หรือเรียกว่าโลกทัศน์แบบผู้รักชาติก็แล้วกัน มันจะใหญ่มาก เกินกว่าประเด็นอื่นๆ จะมองเห็นได้

แต่ผมกำลังเรียกร้องต่อในระดับองค์กรสื่อ องค์กรวิชาชีพสื่อ ตัวโครงสร้างสื่อต่างๆ ควรจะต้องมีระบบรองรับเหล่านี้ รวมไปถึงน่าจะต้องมีโต๊ะกลางหรือโต๊ะรวมในการประมวลผล เช่น โต๊ะข่าวที่ชื่อว่าโต๊ะข่าวความขัดแย้งไทย-กัมพูชา เพื่อจะแสวงหาแง่มุมหลายๆ มิติ มองให้มันกลมขึ้น แล้วก็คิดไปถึงวันที่หากฝั่งโน้นระบบ ฮุน เซน ล่มสลาย หรืออะไรก็ตามที่บ่งบอกว่าทิศทางระหว่างเพื่อนบ้านเราดีขึ้น เพราะเราย้ายบ้านไม่ได้ ประเทศเราก็ยังอยู่ตรงนี้ เราจะฟื้นฟูยังไง ผมคิดว่ามันต้องคิดแบบนี้ แล้วมีสติมากกว่าคนทั่วไป

ด้วยข้อมูลข่าวสารที่มากมาย ความสำคัญของการสื่อสารของผู้นำและภาครัฐจึงสำคัญ?

Photo by MOHD RASFAN / POOL / AFP

แน่นอน ทุกภาวะวิกฤต น่าจะต้องมี 2 ปีก ผมไม่เรียกร้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง รัฐจะต้องมีหน่วยงานซึ่งมีความเป็นทางการ เป็นข้อมูลข่าวสารที่เป็น official และก็ปล่อยช่วงเวลาของการเสนอข่าวสาร เป็นช่วงๆ ตามความเหมาะสม เช่น วันหนึ่ง กี่ครั้งๆ ทำไมตอนสมัย COVID-19 ระบาด เราถึงทำได้ ในสถานการณ์แบบนี้เราก็สามารถทำได้เหมือนกันหรือเปล่า

และไม่ควรปลุกไฟของคนในประเทศแค่ให้ประชาชนเอาใจช่วยทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยก็พอ พร้อมกันนั้นก็รายงานข่าวเป็นขั้นๆ อันนี้คือส่วนที่เป็นทางการโดยรัฐบาล ซึ่งปกติต้องมีในทุกภาวะวิกฤต จะต้องมีการแถลงอย่างเป็นทางการ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญ

ภายใต้วิกฤตปัจจุบัน ใครเป็นผู้รู้หรือเข้าใจสิ่งนี้ดี อาจจะเป็นนักการทูตหรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะต้องมี อันที่สองคือการมีสื่อมวลชนมืออาชีพ ที่จะต้องมีโต๊ะกลางเพื่อปรึกษาหารือ เป็นโต๊ะเฉพาะกิจ อาจแยกไปตามสำนักข่าวต่างๆ หรือจะทำโดยสมาคม สมาคมวิชาชีพต่างๆ ก็ได้

เพื่อที่จะรวมคนที่เชี่ยวชาญ แล้วก็วิเคราะห์ อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง เพื่อให้เห็นว่ามันควรจะทำอย่างไร รวมไปถึงจะต้องช่วยกันสร้างในสิ่งที่เรียกว่า ‘สภาวะแวดล้อมด้านการสื่อสาร’ ที่มีข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนมากเพียงพอ ให้คนในประเทศสามารถที่จะตัดสินใจได้ แล้วก็มีข่าวสารหลายระดับ คนในบริเวณพื้นที่ชายแดน ตั้งแต่ช่องบกมาจนถึงอีสานใต้ ข่าวตรงนี้ก็เป็นแบบหนึ่ง เพราะพวกเขาเป็นกลุ่มที่อาจต้องอยู่ศูนย์พักพิงในช่วงเกิดศึกสงคราม ไกลขึ้นมาหน่อย ก็อีสานตรงกลาง หรือภาคอื่นๆ หรือผมซึ่งอยู่ภาคใต้ ก็ควรจะรับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง แต่อาจแตกต่างออกไป

คิดเห็นอย่างไรกับสภาวะที่ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ กลายเป็นตัวละครสำคัญ ไม่ต่างกับภาครัฐและสื่อมวลชน

การเผยแพร่ข่าวสารที่ยกตัวอย่างข้างต้น ไม่ใช่ข่าวสารแบบรวมศูนย์แบบผูกขาด แต่อาจจะเรียกว่ามีเอกภาพ ที่สะท้อนว่าหน่วยงานต่างๆ ประสาน บูรณาการ ทำงานร่วมกัน จะสื่อสารต่อสาธารณะแบบนี้ ดังนั้นปัจจัยหนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นตัวสะท้อนสังคมของเราว่า มันเกิดความล้มเหลวอะไรบางอย่าง ก็คือการเกิดขึ้นของ ‘ระบบอาสาสมัคร อินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ’ ในการระดมความช่วยเหลือ

ความหมายของผมไม่ใช่ว่าการทำสิ่งเหล่านี้ไม่ดี ความเป็นจริงมันดีมากๆ ในการที่เราเอาใจใส่ เราพร้อมที่จะช่วยกัน แต่ว่าในเชิงการบริหารจัดการ หรือการอำนวยการ ถ้ามันไม่มีคนบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ มันจะไม่ได้ดุลเลย กลับกลายเป็นตัวสะท้อนของความล้มเหลวของหน่วยงานภาครัฐมากขึ้นไปอีก

ยิ่งมีอินฟลูเอนเซอร์ระดมทำนู่นนี่ ไปถึงขั้นซื้อยุทธภัณฑ์เอง ซื้อโดรน มันสะท้อนความบิดเบี้ยวอะไรบางอย่าง หรือความล้มเหลวบางอย่างของการบริหารจัดการโดยรัฐ ซึ่งเราต้องการความเป็นทางการในนาทีแบบนี้ มันต้องทำงานประสานกัน ไม่ใช่เอกชน อาสาสมัคร จัดการตัวเอง ทำกันเอง

อย่างไรก็ตาม อินฟลูเอนเซอร์ในภาวะสงคราม ยังไม่ค่อยมีการถกกันอย่างจริงจังเท่าไร มันยังขี่คอกันอยู่ระหว่าง บทบาทของคุณยามสงคราม กับสิทธิการสื่อสาร ทั้งนี้การที่อินฟลูเอนเซอร์จะเข้าไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับสื่อมวลชนอาจจะจัดการยากลำบากหน่อย แต่ในแง่การเป็น witness ก็ยังมีความจำเป็น เพราะมีแง่มุมหลายอย่างที่ช่วยเติมเต็มความจริงได้ แต่ในหน้าแนวมันก็ชุลมุนเกินไป นี่ไม่รวมถึงอคติที่ติดตัวลงไปอยู่ในสถานการณ์และสะท้อนมาสู่สาธารณะ

ดังนั้นด้วยความเห็นและข่าวสารที่มาจากหลายกลุ่ม การที่ประชาชนสามารถเข้าใจ รู้เท่าทันตัวสื่อ ว่าจริงๆ แล้วสื่อเหล่านี้มาพร้อมกับอะไร มาพร้อมกับอคติ มาพร้อมกับการปั่นให้เราเกิดความรู้สึกตามหรือเปล่า ซึ่งผมคิดว่าเป็นสิ่งที่สังคมจะต้องเรียนรู้ร่วมกัน

และเอาเข้าจริงเรามีกฎหมาย ในเรื่องของการละเมิด แต่ผมรู้สึกว่ามันเหมือนถูกเพิกเฉยไป ซึ่งในหลักเสรีนิยม คนมักจะคิดว่าเสรีคือทำอะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึงว่า แต่ถ้าคุณทำผิด โดยเฉพาะผิดกฎหมาย หรือละเมิดอะไรบางอย่าง คุณนั่นแหละจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำสิ่งนั้นด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เรามักไม่ค่อยพูดกันในประเด็นนี้

เรามักจะพูดแต่ว่า เรามีสื่ออยู่ในมือ เราจะทำอะไรก็ได้ เราจะใส่ร้ายป้ายสีอะไรก็ได้ ซึ่งผมคิดว่ามันเข้าข่ายในการที่จะละเมิดต่อทั้งกฎหมาย ความมั่นคง กฎหมายอาญา หรือการนำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบที่ผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ฉะนั้นนอกจากการเอาผิดต่อการทำสิ่งเหล่านี้ ก็ควรพึงระวังในการทำสิ่งเหล่านี้ด้วย

หากเรายังปล่อยให้ข่าวปลอม ข่าวปลุกปั่น เดินหน้าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ถ้าทั้ง 2 ประเทศมีสัญญาณอะไรดีๆ โอกาสที่จะฟื้นความสัมพันธ์ก็อาจจะเกิดขึ้น เพราะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ย้อนไปเมื่อสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ประเด็นนี้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งการแสวงหาทางออกแบบสร้างสรรค์ เป็นจริง และมีความเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เรายังอาจจะมองไม่เห็น แต่ผมคิดว่าสังคมอาจจะต้องช่วยกันดู ช่วยกันคิด แล้วก็เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ จากประสบการณ์ จากบทเรียน ซึ่งเคยมีมาก่อนหน้านี้ในการคลี่คลายความขัดแย้งของสังคมไทย ของสังคมเพื่อนบ้าน

เพราะหลังจากผลักดันภัยคุกคามออกไปแล้ว เราก็ต้องกลับมาคิดว่าเราจะเอายังไงต่อ จินตนาการใหม่ เช่น แรงงานในบ้านเราจะเอายังไง ไทยเป็นประเทศซึ่งมีแรงงานข้ามชาติที่ทำงานทั้งในไซต์ก่อสร้าง ในครัวเรือน ทำกับข้าวให้เรากิน เลี้ยงลูกเรา พวกเขาใกล้ชิดกับสังคมไทยมากกว่าที่คิด ผมจึงคิดว่าน่าจะต้องช่วยกันขบคิดว่าในอนาคตเราจะอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านเรายังไง

รวมไปถึงถ้ามันมีปัญหาในลักษณะนี้อีกเราควรรับมืออย่างไร เพราะเราไม่ได้มีแต่ชายแดนไทย-กัมพูชา เราติดกับเมียนมาร์ ลาว มาเลเซีย และเวียดนาม เราจะบริหารจัดการยังไง เพราะไม่ใช่ว่าจบเรื่องกัมพูชาแล้ว ทุกอย่างมันจะเคลียร์ มันอาจจะมีปัญหาหรือข้อท้าทายอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นมาก็ได้ ประเด็นก็คือเราจะเรียนรู้หรือเราได้บทเรียนจากสิ่งนี้ แล้วนำไปสู่อนาคตของเราได้ยังไง ผมคิดว่าเราต้องมองในความเป็นมนุษย์มากขึ้น หรือว่าชะตากรรมของคนที่ต้องอยู่ภายใต้บริบทการสื่อสารและสังคมการเมืองแบบนั้นยิ่งขึ้น

Photo by Handout / CAMBODIA'S MINISTRY OF LABOUR / AFP

ยกตัวอย่างในกัมพูชา ผมคิดว่าเราหลายคนก็ฟังเรื่องราวจากผู้เชี่ยวชาญที่เขาพยายามบอกเล่าว่า ฝั่งกัมพูชาเป็นยังไง หนึ่งก็คือการครองอำนาจยาวนานของตระกูลฮุน ซึ่งคุมได้หมดในทุกองค์องคาพยพ ส่วนที่สองคือบริบททางการสื่อสาร ที่สังคมจะรับข้อมูลข่าวสารอยู่เพียงด้านเดียว ไม่มีคนที่เห็นต่างหรือคัดค้าน สังคมกัมพูชาก็ไปทิศทางเดียวถูกครอบงำในทุกระดับ สังคมการเมืองลักษณะนี้ไม่ว่าจะสังคมไหน ถ้าถูกปล่อยให้อยู่ในแบบนี้ มันก็จะกลายเป็นภัยคุกคามของสังคมอื่นๆ

หรือที่เราหลายคนอาจจะรู้สึกว่า ทำไมคนอเมริกันถึงเลือกทรัมป์ ทั้งๆ ที่ประเทศก้าวหน้าขนาดนั้น อีกด้านหนึ่งผมคิดว่า เพราะการมี fake news การมีข่าวปลอม คนที่ปั่นพร้อมจะเล่นกับอคติ รวมไปถึงระบบโครงสร้างการสื่อสารแบบอัลกิรึธึม มันย้ำๆ เอาเข้าจริงปัจจุบันเหมือนทันสมัย แต่จริงๆ เราเหมือนกลับเข้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง ที่เยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แล้วมีฝ่ายการเมืองพยายามปลุกปั่นว่าจะฟื้นฟูชาติ

สำหรับผมมองว่ามันคล้ายกันเลย เพียงแต่ว่าสมัยนั้นไม่ได้มีสื่อที่มันกว้างขวางแบบ social media ก็คุมแบบ one-sided ข้อมูลด้านเดียว มีหนัง วิทยุ แต่ว่าในขณะนี้เราอยู่ในสื่อแบบใหม่ ทำไมมันไม่ต่างจากร้อยปีที่แล้ว น่าคิดไหม สิ่งที่ผมกำลังจะพูดก็คือว่า จริงๆ เราทุกคนพร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อได้ทั้งสิ้น ไม่ต่างกับคนกัมพูชา หากเราต้องตกอยู่ภายใต้สังคมการเมือง หรือโครงสร้างการสื่อสารแบบนั้น เราก็อาจตกเป็นเหยื่อเหมือนกัน

ที่ข่าวจริงก็อาจจะกลายเป็นข่าวปลอมก็ได้ ข่าวปลอมก็อาจจะเป็นข่าวจริงก็ได้ ซึ่งเป็นชะตากรรมที่เราต้องพึงตระหนัก อย่าเข้าไปอยู่ภายใต้วังวนอะไรแบบนั้นเลย เพราะสิ่งที่เรียกว่าชาตินิยมมันทำงานเร็วแรง โดยที่บางทีคุณไม่รู้เท่าทันมัน แล้วที่สำคัญสิ่งที่มันเคลือบมากับชาตินิยมคือ สิ่งที่บอกคุณว่าได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว คุณพร้อมที่จะสละได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของคุณ ตรงนี้ไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่คุณต้องมีสติกับมัน คุณต้องเข้าใจเงื่อนไขอันนี้

ถ้าคุณเข้าใจ คุณปลดล็อกมันได้ ความรักชาติคุณก็ไม่ได้น้อยลงหรอก เพียงแต่ว่าคุณจะปฏิบัติต่อมนุษย์อีกแบบหนึ่ง คุณจะปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านอีกแบบหนึ่ง
Graphic Designer: Krittaporn Tochan
Editor: Thanyawat Ippoodom

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก The MATTER

เก็บตกบาดแผลที่สูญหาย เมื่อประเทศไทยไม่เคยจำ ในสารคดี ‘When my father was a communist’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘Beautiful Goodbye’ เมื่อทุกก้าวที่เปลี่ยนแปลงของการเติบโต คือความสวยงามของการจากลา

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

สส.พรรคประชาชน เสนอตัดงบเคหะ 300 ล้าน! ชี้ประเคนให้เอกชนฟันกำไร

PostToday

“หมอทศพร” ขอตัดงบฯ ค่าอาหาร สส.อีก 50 ล้าน แจง งบค่าอาหาร สส. 52 ล้านบาทต่อปีเพียงพอ

THE ROOM 44 CHANNEL

“เรืองไกร” จี้ สส. กลางสภาฯ จ่อ ยื่นศาลรธน. ตีความจริยธรรม

THE ROOM 44 CHANNEL

‘พริษฐ์’ชงหั่นงบหลักสูตรผู้บริหารศาลยุติธรรม 16 ล้าน เสี่ยงสร้างระบบอุปถัมภ์

เดลินิวส์

ทีมกู้ทุ่นระเบิดแฉเล่ห์ ‘เขมร’ เขย่าลวดหนามหลอกทหารไทยให้เหยียบระเบิด

เดลินิวส์

‘พริษฐ์’ หั่นงบ ‘หลักสูตร บยส.’ 16 ล้าน อบรมศาลเลิกสร้างระบบอุปถัมภ์

ไทยโพสต์

ข่าวและบทความยอดนิยม

สำรวจหลักสำคัญการสื่อสารจากรัฐบาล ในช่วงเวลาสงครามข่าวสาร ที่ประชาชนต้องการ ‘ความจริง’ 

The MATTER

เงินเดือน 7,850 บาท ไร้สวัสดิการ ไร้ตัวตน ว่าด้วยปัญหาแรงงานชายขอบ ในระบบสาธารณสุขที่แทบไม่มีใครเห็น

The MATTER

สำรวจทางออก และทางเลือก เมื่ออคติ ‘เหมารวม’ คนกัมพูชาในไทย อาจทำให้วิกฤตไทย-กัมพูชา รุนแรงขึ้น

The MATTER
ดูเพิ่ม