ครม.ยังไม่ถก ‘ยุบสภา’ แค่จัดลำดับ 4 รองนายกฯ รักษาการ พ่วงตั้งโฆษก
วันนี้ (2 กันยายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ว่า ที่ประชุมครม.วันนี้ ไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับอำนาจการ “ยุบสภา” ของรักษาการนายกรัฐมนตรี มีเพียงการพูดถึงวาระปกติเท่านั้น
ทั้งนี้ได้มีมติอนุมัติคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการมอบหมายหน้าที่ของ 3 รองนายกรัฐมนตรีเรียงลำดับตามที่ได้จัดไว้ประกอบด้วย รองนายกฯ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, รองนายกฯ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค, รองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร และ รองนายกฯ ประเสริฐ จันทรรวงทอง
“รองนายกฯ ทั้ง 4 คนนี้จะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี โดยลำดับ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ และยังได้มอบหมายให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เช่นเดียวกับที่เคยปฏิบัติมา”
ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม. ยังมีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเท่าที่จำเป็น อาทิ เจ้าหน้าที่ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าที่ประสานงาน รับเอกสาร และรับเรื่องร้องเรียนต่างๆ รวมถึงการแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เท่าที่จำเป็น โดยโฆษกรัฐบาลยังคงเป็น นายจิรายุ ห่วงทรัพย์
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ครม.ยังมีมติอนุมัติร่างพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยกฎหมายฉบับนี้เป็นกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสิทธิประโยชน์ในรูปของเครดิตภาษี เพื่อดึงดูดให้บริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
โดยครม. ได้อนุมัติร่างกฎหมายนี้และนำส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อตรวจสอบร่าง ก่อนนำเสนอต่อรัฐสภาต่อไป
อีกเรื่องคือครม.ได้รับทราบข้อห่วงใยและวิตกกังวลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 โดยที่ผ่านมากฎหมายฉบับนี้และมติ ครม. ในอดีตมีเป้าหมายให้คนพิการเข้าทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่กำหนดไว้
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีคนพิการจำนวนมากถึง 2.2 ล้านคน แต่มีผู้เข้าทำงานอยู่เพียงประมาณ 1.8 หมื่นคนเท่านั้น ครม. จึงมีมติให้มีการจำแนกประเภทของคนพิการให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการเหล่านี้ได้ทำงานมากขึ้นตามที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ครม.ยังอนุมัติงบกลาง ปี 2568 หลายรายการที่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน เช่น เรื่องค่าอาหารของโรงเรียนเอกชน ซึ่ง ครม. พิจารณาแล้วว่าเป็นความจำเป็นจึงอนุมัติไป