รัฐรื้อใหญ่ พ.ร.บ.โรงแรม ดูแลโฮมสเตย์ โฮสเทล แพลตฟอร์มดิจิทัล
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ขณะนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 โดยยกร่างพระราชบัญญัติสถานที่พักแรม พ.ศ. …. ขึ้นมาใหม่ ล่าสุดได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป เพื่อให้ได้รับข้อมูล ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุว่า ที่ผ่านมา พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน จึงไม่สอดคล้องกับสภาพการท่องเที่ยวในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอย่างรวดเร็ว และมีการท่องเที่ยวในลักษณะใหม่ ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ
ทั้งจากการท่องเที่ยวแบบมวลชน (mass tourism) ขยายไปสู่การท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม เช่น การท่องเที่ยวแบบหรูหรา (luxury tourism) การท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์เพื่อการพัฒนาตนเอง เช่น การท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ (creative tourism) การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า (slow tourism) หรือการท่องเที่ยวโดยลำพัง (solo tourism) ที่นักท่องเที่ยวเป็นผู้ออกแบบเส้นทางท่องเที่ยวเองตามความสนใจเฉพาะตัว
รวมทั้งการท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวมีความต้องการสินค้าและบริการที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการแพทย์ (medical and wellness tourism) การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (sports tourism) นอกจากนั้น รูปแบบของการท่องเที่ยวร่วมสมัยยังเรียกร้องความรับผิดชอบของนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการท่องเที่ยว ว่าต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งในมิติของสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และชุมชน (responsible tourism)
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานที่พักแรมให้เกิดความสะดวก รวดเร็ว และมีช่องทางที่รัฐจะสามารถส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการทุกฝ่ายโดยรีบด่วน ทั้งต่อผู้ประกอบการในลักษณะเดิม เช่น โรงแรมขนาดใหญ่
รวมถึงผู้ประกอบการในลักษณะใหม่ เช่น การให้บริการสถานที่พักแรมขนาดเล็ก (hostel and boutique hotel) การให้บริการสถานที่พักแรมในลักษณะเศรษฐกิจแบ่งปัน (sharing economy) หรือการให้บริการท่องเที่ยวของท้องถิ่นหรือชุมชน (homestay) ที่จะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางใหม่ของการท่องเที่ยว
สาระสำคัญของร่างกฎหมาย
1. ปรับปรุงพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ.2547 ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และรูปแบบธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562
เนื่องจากนิยาม “โรงแรม” ในกฎหมายปัจจุบันจำกัดเฉพาะสถานที่พักที่มีลักษณะเป็นอาคารถาวร มีระบบสาธารณูปโภคครบถ้วน และดำเนินการในเชิงธุรกิจเพื่อแสวงหากำไร ส่งผลให้สถานที่พักรูปแบบใหม่ เช่น โฮมสเตย์ เต็นท์ บ้านต้นไม้ แพ โฮสเทล
รวมทั้งการให้บริการบ้านพักหรือห้องพักเพื่อการอยู่อาศัยรายวัน ไม่สามารถขออนุญาตได้ตามกฎหมาย ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากจึงอยู่นอกระบบ ถูกมองว่า “ผิดกฎหมาย” ทั้งที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจฐานรากและการท่องเที่ยวชุมชน ร่างพระราชบัญญัตินี้จึงกำหนดนิยาม “โรงแรม” และ “สถานที่พักแรม” ให้ชัดเจนและครอบคลุมทั้งโรงแรมและสถานที่พักรูปแบบอื่น ๆ
2. แก้ไขปัญหาการกำหนดหลักเกณฑ์แบบ “One Size Fits All”
เพื่อให้กฎหมายมีความยืดหยุ่นและเป็นธรรมมากขึ้นสำหรับผู้ประกอบการทุกขนาด โดยเฉพาะรายย่อยที่เคยถูกบังคับใช้กฎหมายแบบเดียวกับรายใหญ่ ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับบริบทของกิจการนั้น ๆ รวมทั้งเพื่อขจัดช่องว่างทางกฎหมายที่เคยทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยกลายเป็นผู้กระทำผิดโดยไม่ตั้งใจ
โดยมีมาตรการที่สำคัญ คือ ใช้ระบบ “จดแจ้ง” หรือ “ขึ้นทะเบียน” แทน “ขออนุญาต” สำหรับกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ และปรับปรุงกลไกการกำกับดูแลให้เหมาะสมกับลักษณะกิจการ เช่น ไม่บังคับให้ที่พักขนาดเล็กต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือมาตรฐานการประกอบธุรกิจเหมือนโรงแรมใหญ่ แต่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัยที่จำเป็น
3. กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ
เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการขออนุญาตและการติดต่อราชการ ซึ่งเดิมเคยเป็นอุปสรรคสำคัญต่อผู้ประกอบการรายย่อย โดยมีมาตรการที่สำคัญ กล่าวคือ การจัดให้มีระบบและวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการบันทึกทะเบียนผู้พัก การรับแจ้ง รับคำขอ การออกใบรับแจ้ง ใบรับขึ้นทะเบียน หรือใบอนุญาต หรือการดำเนินการอื่นใดตามร่างพระราชบัญญัตินี้
การตรวจคำขอที่รวดเร็วตามกฎหมายว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ รวมทั้งจัดให้มีระบบ Super License ที่ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานที่พักแรมใบเดียวครอบคลุมหลายกิจกรรม เพื่อลดความซ้ำซ้อนและภาระของประชาชนในการขออนุญาตหลายใบ
4. กำหนดมาตรการส่งเสริมการประกอบธุรกิจ
เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยและธุรกิจท้องถิ่น โดยมีมาตรการที่สำคัญ กล่าวคือ การกำหนดให้มี “คณะกรรมการส่งเสริมการประกอบธุรกิจสถานที่พักแรม” ทำหน้าที่กำหนดแนวทางการส่งเสริมและการกำกับดูแลธุรกิจสถานที่พักแรมในภาพรวม
รวมทั้งยังเป็นกลไกเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงระหว่างภาคธุรกิจกับรัฐบาล เชื่อมโยงผู้ประกอบการกับหน่วยงานรัฐและผู้บริโภค และทำหน้าที่เป็นกลไกตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจของนายทะเบียน รวมทั้งการกำหนดให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมธุรกิจสถานที่พักแรม มีหน้าที่จัดทำนโยบาย แผน และมาตรการส่งเสริมธุรกิจที่พักแรม ให้ครอบคลุมทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม มาตรฐานบริการ และการพัฒนาบุคลากร
5. กำหนดมาตรการกำกับดูแลธุรกิจการจับคู่ระหว่างผู้ให้บริการที่พักและผู้เข้าพัก
เป็นประเด็นสำคัญในยุคที่แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Airbnb, Agoda, Booking.com มีบทบาทอย่างมากในการเชื่อมโยงผู้ประกอบธุรกิจสถานที่พักแรมกับผู้พัก ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์แก่การคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ และสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ รวมทั้งเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และส่งเสริมการเข้าสู่ระบบของธุรกิจที่พักที่เคยอยู่นอกกฎหมาย
6. แก้ไขบทกำหนดโทษ
เพื่อปรับปรุงกฎหมายให้มีความเป็นธรรมและเหมาะสมกับบริบทของผู้ประกอบการ วางหลักการในการกำหนดโทษให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับระดับความร้ายแรงของการกระทำโดยใช้แนวทาง “จูงใจมากกว่าบังคับ” เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งลดการใช้โทษทางอาญาในกรณีที่ไม่จำเป็น ตามหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562