โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ต่างชาติเทขาย หุ้นไทย-อินโดฯ เซ่นการเมืองระอุ สถิติชี้หลังศาลสั่งปลดนายกฯ ต่างชาติขายเฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน

THE STANDARD

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ต่างชาติเทขาย หุ้นไทย-อินโดฯ เซ่นการเมืองระอุ สถิติชี้หลังศาลสั่งปลดนายกฯ ต่างชาติขายเฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาทต่อเดือน

ประเด็นทางการเมืองที่ร้อนระอุกำลังปกคลุม 2 เศรษฐกิจใหญ่ของอาเซียนอย่างอินโดนีเซีย และไทย นำไปสู่การเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ไทยและอินโดนีเซีย อาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งใหญ่เร็วๆ นี้

หลังจากเกิดการประท้วงทั่วประเทศในอินโดนีเซีย ซึ่งกินเวลานานกว่า 3 วัน และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 คน ขณะที่ประเทศไทย ก็กำลังจะมีผู้นำและรัฐบาลใหม่ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญไทยมีมติเสียงข้างมากให้ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี

สถิติชี้ 1 เดือนหลังศาลสั่งปลดนายกฯ ต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ย ‘1 หมื่นล้านบาท’

สรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บล. กสิกรไทย เปิดเผยกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ตั้งแต่ปี 2551 จนถึงปัจจุบัน ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินปลดนายกรัฐมนตรีทั้งหมด 4 ครั้ง จากสถิติที่ผ่านมา ในช่วง 1 เดือนแรก หลังคำตัดสินของศาล นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเฉลี่ย 1 หมื่นล้านบาท

“หากไม่เกิดการยุบสภา SET น่าจะไม่ปรับตัวลงแรงนัก คาดว่าดัชนีจะอยู่ในกรอบ 1,190 – 1,275 จุด ในช่วงเดือนกันยายนนี้ แต่หากการเลือกนายกฯ ใหม่ล่าช้า ผลกระทบจะมากขึ้น”

อย่างไรก็ดี พ.ร.บ. งบประมาณที่ผ่านคณะรัฐมนตรีแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ความน่ากังวลไม่มากนัก

สำหรับกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ในเดือนกรกฎาคมต่างชาติซื้อสุทธิ 1.6 หมื่นล้านบาท ก่อนที่จะกลับมาขายสุทธิราว 2 หมื่นล้านบาท โดยมาจากทั้งการขายโดยปกติ รวมทั้งการปรับพอร์ตตาม MSCI ที่ลดน้ำหนักหุ้นไทย และการขาย Big lot หุ้น TIDLOR

สรพลกล่าวต่อว่า ปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางของฟันด์โฟลวในช่วงถัดจากนี้คือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ วันที่ 16-17 กันยายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ พร้อมกับข้อมูล Dot Plot สำหรับแนวโน้มดอกเบี้ยในปี 2569

“ตอนนี้เริ่มเห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจและการจ้างงานเริ่มชะลอ ขณะที่คณะกรรมการเฟดเริ่มปรับโฉมไปมาก เชื่อว่าตลาดเริ่มให้น้ำหนักกับการลดดอกเบี้ยในปีหน้ามากขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง อาจจะเพิ่มเป็น 2-4 ครั้ง หากข้อมูล dot plot สะท้อนภาพนี้ จะเห็นเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ รวมทั้งในเอเชีย”

กลยุทธ์ลงทุนในเวลานี้ สรพลแนะนำให้กลับมาเพิ่มน้ำหนักหุ้นในประเทศมากขึ้น เพราะเชื่อว่าจะเห็นแรงซื้อกลับหลังจากหุ้นไทยย่อตัว แม้อาจจะเห็นแรงขายต่างชาติในช่วงแรก

ทั้งนี้ ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา (YTD) ติดลบอยู่ราว 11% แม้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ดัชนี SET จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปีที่ 1,053 จุด กลับมาอยู่ที่ราว 1,240 – 1,280 จุด

ส่วนความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งปลดนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 7 จุด จากวันก่อนหน้า

ตลาดหุ้นอินโดฯ ร่วงหนักสุดรอบ 5 เดือนเซ่นประท้วงเดือด!

ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซียร่วงลงมากถึง 3.6% ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 5 เดือน โดยหุ้นกลุ่มธนาคารการเงินนับเป็นตัวฉุดที่ใหญ่ที่สุด โดยหุ้น Bank Rakyat, PT Bank Central Asia และ PT Bank Mandiri Persero ต่างก็ลดลงมากกว่า 4% ระหว่างวัน หลังเกิดการประท้วงทั่วประเทศ ซึ่งกินเวลานานกว่า 3 วัน และทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 7 คน

ความตึงเครียดปรากฏให้เห็นในตลาดพันธบัตรด้วยเช่นกัน โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีของอินโดนีเซีย เพิ่มขึ้น 7 Basis Points มาอยู่ที่ 6.4% ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงสุดในรอบเกือบ 3 สัปดาห์ ขณะที่ค่าเงินรูเปียห์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 16,520 ต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน ก่อนจะฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อย

เปิดปมความไม่พอใจชาวอินโดนีเซีย นำสู่การประท้วงใหญ่

ทั้งนี้ การประท้วงในอินโดนีเซียเริ่มขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจากความไม่พอใจเกี่ยวกับสิทธิพิเศษมากมายที่สมาชิกสภานิติบัญญัติอินโดนีเซียได้รับ ซึ่งรวมไปถึงค่าเบี้ยเลี้ยงบ้านพักของสมาชิกรัฐสภา ที่สูงเกือบ 10 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำรายเดือนในกรุงจาการ์ตา

โดยความไม่พอใจยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นการเพิ่มภาษี การปลดพนักงานจำนวนมาก และภาวะเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อชาวอินโดนีเซียที่มีรายได้น้อย ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ และการใช้ความรุนแรงของตำรวจ

อย่างไรก็ตาม การปราศรัยของปราโบโว ซูเบียโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ต่อประชาชนในคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ซูเบียโต ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะแก้ไขข้อเรียกร้องต่างๆ ของประชาชน

โดยช่วงเช้าวันนี้ (1 กันยายน) แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต (Airlangga Hartarto) รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจอินโดนีเซียยังคง ‘แข็งแกร่ง’

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะยังคงอยู่ในโหมดระมัดระวัง จนกว่าจะมีการปฏิรูปเพิ่มเติม หรือผู้ประท้วงแสดงความพึงพอใจ

โดยประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้ยกเลิกแผนการเดินทางไปเยือนประเทศจีนในสัปดาห์นี้ เพื่ออยู่ประสานงานต่อความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 10 เดือนของการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ

Siwage Dharma Negara หัวหน้าโครงการศึกษาอินโดนีเซียที่สถาบัน ISEAS Yusof Ishak กล่าวว่า “การประท้วงครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งของประชาชนต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น ความเหลื่อมล้ำ และการบริหารจัดการที่ย่ำแย่”

“จนถึงตอนนี้ มองว่า การตอบสนองของรัฐบาลส่วนใหญ่เพียงผิวเผิน เช่น การยกเลิกเบี้ยเลี้ยงของรัฐสภา การลดการเดินทางไปต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งล้มเหลวในการแก้ไขต้นตอของปัญหา”

“เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของตลาด ปราโบโวต้องให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเศรษฐกิจที่น่าเชื่อถือเพื่อคนยากจน มากกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ทะเยอทะยาน” Siwage Dharma Negara กล่าว

Dedi Dinarto นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Global Counsel บริษัทที่ปรึกษานโยบายสาธารณะ กล่าวว่านักลงทุนยังคง ‘ระมัดระวัง’ เนื่องจากข่าวลือเรื่องการประท้วงเพิ่มเติม

พร้อมระบุว่า “เมื่อความโกรธเคืองของประชาชนพุ่งเป้าไปที่การใช้จ่ายเงินของรัฐ นักลงทุนจึงระมัดระวัง ทบทวนกลยุทธ์ และปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเกิดขึ้น”หุ้นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากความไม่สงบในการซื้อขายในตลาดเมื่อวันจันทร์คือหุ้นของธนาคาร

ฮาร์ตาร์โต ยังย้ำว่า “รัฐบาลมีความสามารถและความมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ” โดยเน้นย้ำถึงความเพียงพอของทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของอินโดนีเซีย ซึ่งสูงมากกว่ามูลค่าการนำเข้าเป็นเวลา 6 เดือน โดยอัตราเงินเฟ้อก็มีเสถียรภาพอยู่ที่ 2.3% และการเกินดุลการค้าที่คงที่

ไพบูลย์ มองการเดินหน้า ‘ยุบสภา’ เป็นบวกกับตลาดหุ้น

ไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH เกี่ยวกับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยชี้ว่าตลาดหุ้นไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ และมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการ ‘เคลียร์ภาพใหญ่’ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการยุบสภาในที่สุด

“ผมคิดว่ามันก็ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์เคยคาดไว้ ตลาดก็เลยไม่ได้ตื่นตระหนกมาก” ไพบูลย์กล่าว “คำพิพากษาเมื่อวันศุกร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็คงเป็นแบบนี้ ตลาดก็เลยยังนิ่ง ๆ อยู่” ไพบูลย์กล่าว

ยุบสภา คือทางออกที่เป็นไปได้ที่สุด

ไพบูลย์มองว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทิศทางสุดท้ายน่าจะนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะดูเหมือนว่าทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่านี่คือทางออกเดียวที่จะทำให้การเมืองเดินหน้าต่อไปได้ และยังเป็นการสร้างความหวังให้กับตลาดทุน เพราะรัฐบาลชุดนี้มีความไม่มั่นคงตั้งแต่ต้น เนื่องจากต้องพึ่งพาเสียงจากหลายพรรครวมกัน การเลือกตั้งใหม่จึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด

“ผมคิดว่าการเลือกตั้งใหม่น่าจะเป็นอะไรที่ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว หากมีการเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้ผมเชื่อว่านโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งก็น่าจะไปเน้นที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้น นโยบายเศรษฐกิจคงไม่เน้นประชานิยมเพียงอย่างเดียว เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าปัญหาของประเทศชาติอยู่ตรงไหน” ไพบูลย์กล่าว

สำหรับการหาทางออกให้การเมืองเดินหน้าต่อได้ ไพบูลย์มองว่ามีความเป็นไปได้สูงที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคประชาชนจะพิจารณาเลือกโหวตให้นายกรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทย พรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะทั้งสองพรรคต่างตอบรับเงื่อนไขของพรรคประชาชนเพื่อแลกกับการขอเสียงโหวตตัวนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นเงื่อนไขที่พรรคประชาชนเสนอให้เกิดการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เพื่อทำหน้าที่บริหารประเทศไปพลางก่อน และจัดการในเรื่องที่สำคัญ เช่น การทำประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่และดูแลเศรษฐกิจในระยะสั้น ก่อนจะเดินหน้าสู่การยุบสภาในอีก 4 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ นำไปสู่การจัดเลือกตั้งใหม่

ปัจจัยบวกจากความชัดเจนทางการเมือง

หากสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้และจัดตั้งรัฐบาลได้ในสัปดาห์นี้ ไพบูลย์เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ เพราะการเมืองที่ชัดเจนจะทำให้นักลงทุนหันไปให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ แทน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก ทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หรือแม้แต่นโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยภายใต้ผู้ว่าฯ คนใหม่

นอกจากนี้ การที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีหน้าได้ผ่านการอนุมัติแล้ว จะช่วยให้การบริหารงานของรัฐบาลรักษาการสามารถเดินหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด ซึ่งไพบูลย์ระบุว่างบประมาณปีหน้าได้ผ่านไปแล้วและคงไม่มีการทำอะไรใหม่ๆ โดยรัฐบาลรักษาการนี้ แต่ก็ยังเหลือเงินงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 157,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะสามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งใหม่และยุบสภา

ไพบูลย์เชื่อว่าการเมืองไทยกำลังเดินไปตามกลไกประชาธิปไตย แม้จะมีความเสี่ยงจากปัจจัยที่ไม่แน่นอน เช่น ความขัดแย้งทางการเมือง หรือการที่พรรคการเมืองไม่สามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่ไพบูลย์ยังให้น้ำหนักว่าสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี โดยมีการตั้งรัฐบาลใหม่และเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้ในที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงและความวุ่นวายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

“ถ้าไม่วุ่นวายถ้ามันเดินไปตามกลไกประชาธิปไตยก็มองเป็นภาพบวก” ไพบูลย์กล่าว

ไพบูลย์ทิ้งท้ายว่า แม้จะยังไม่สามารถระบุตัวเลขดัชนีที่แน่นอนได้ แต่แนวโน้มโดยรวมของตลาดทุนไม่น่าจะแย่ เพราะนักลงทุนยังมีความหวังกับการเลือกตั้งครั้งหน้า รวมถึงการที่ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยและตัวเลขเศรษฐกิจของไทยที่ไม่ได้ย่ำแย่ ขณะที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ก็เป็นปัจจัยที่น่าจับตามองเช่นกัน ซึ่งหากออกมาในทิศทางที่ดีก็จะยิ่งส่งผลบวกต่อตลาด

“ถ้าการเมืองลงตัวได้ โฟกัสของตลาดทุนก็จะไปมองที่อื่นซึ่งถ้าปัจจัยอื่นเป็นบวกมาก ๆ มันก็จะปรับขึ้นได้เยอะ” ไพบูลย์กล่าว

ภาพ:Reuters

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

จากโกงทั้งระบบ สู่เศรษฐกิจใหม่: บทเรียนที่ธุรกิจไทยเรียนรู้ได้จากจอร์เจีย

17 นาทีที่แล้ว

Frankenstein ได้รับการยืนปรบมือนาน 13 นาทีที่ Venice Film Festival

36 นาทีที่แล้ว

ก.ล.ต. สั่ง CIG ชี้แจงการเพิ่มทุนเพื่อลงทุนเหมืองทองคำที่แคนาดา

47 นาทีที่แล้ว

อเล็กซ์ อัลบอน คว้าคะแนน 10 จาก 15 เรซในศึก F1 2025

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

พรรคประชาชนยังสรุปไม่ได้ จ่อถกต่อพรุ่งนี้ พริษฐ์ย้ำจุดยืน หาหนทางสู่การยุบสภา-เลือกตั้งใหม่โดยเร็ว

THE STANDARD

ราคาทองคำวันนี้ (1 ก.ย. 68) เปลี่ยนแปลงทั้งหมด 17 ครั้ง ราคาทองปรับขึ้น 400

AEC10NEWs

จากโกงทั้งระบบ สู่เศรษฐกิจใหม่: บทเรียนที่ธุรกิจไทยเรียนรู้ได้จากจอร์เจีย

THE STANDARD

เอกชนเปิดสเปค ‘นายกฯ-รัฐบาล’ โจทย์ใหญ่ แก้วิกฤตเศรษฐกิจอันดับแรก

ฐานเศรษฐกิจ
วิดีโอ

ภูมิธรรมแจงพบพรรคประชาชน ยันเพื่อไทย–พรรคร่วมหนุนข้อเสนอ ตั้ง สสร. แก้ รธน. รีเซ็ตการเมืองใหม่

BRIGHTTV.CO.TH

ประดับยศ "3 ทหารกล้า" กลางสนามรบ ขอบคุณความเสียสละ ปกป้องแผ่นดินสุดชีวิต

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

สิบล้อเบรกไม่อยู่ พุ่งชนด่านเก็บเงินมอเตอร์เวย์ ชนแม่บ้านเสียชีวิต 1 เจ็บ 3 ราย

มุมข่าว

งูเห่าบุกรุก! พบเห็นโทร.1677 อาสาร่วมด้วยพร้อมช่วยเหลือ

INN News

ข่าวและบทความยอดนิยม

นักลงทุนต่างชาติกังวลความไม่แน่นอนทางการเมือง หวังเห็นความต่อเนื่องของนโยบายเศรษฐกิจ

THE STANDARD

นักเศรษฐศาสตร์เตือน จัดตั้งรัฐบาลล่าช้า เศรษฐกิจยิ่งเสี่ยง ประเมิน ‘ยุบสภา’ เศรษฐกิจอาจ ‘ถดถอย’ ในระยะสั้นเท่านั้น

THE STANDARD

นักลงต่างชาติเทขายหุ้นไทย 11 วันรวด มูลค่ากว่า 2.2 หมื่นล้านบาท โบรกเชื่อแค่แรงทำกำไรระยะสั้น ช่วงที่เหลืออาจเห็น SET 1,300 จุด

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...